วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Phineas And Ferb Main Character ♥

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ

------------------------------------------------------------------------------------

การ์ตูนที่เดี๊ยน จะมาแนะนำคือการ์ตูนเรื่อง Phineas And Ferb

------------------------------------------------------------------------------------


ขอให้ผู้อ่านทุกท่านอ่านอย่างตั้งใจและจงมีสุขนะคะ ♥ เดี๊ยนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีประโยชน์ต่อทุกคนไม่มากก็น้อย ขอขอบคุณจากใจจริงและหวังว่าจะไม่ลืมกันนะคะเพราะนี่เป็นวีคสุดท้ายแล้วววว

------------------------------------------------------------------------------------

การ์ตูนเรื่องนี้ มีชื่อภาษาไทยว่า ฟีเนียสกับเฟิร์บ

การ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนสัญชาติอเมริกัน (ถิ่นกำเนิดอยู่ในสหรัฐอเมริกา)

เป็นการ์ตูนแนวตลก ออกอากาศครั้งแรกทางดิสนีย์แชนแนล เมื่อปี 2550

และออกอากาศทางไอทีวีประเทศอังกฤษในเวลาสองปีต่อมา (2552)

-----------------------------------------------------------------------------------

เนื้อหาของการ์ตูนเรื่องนี้เกี่ยวกับ สองพี่น้องนักประดิษฐ์ที่ชอบประดิษฐ์สิ่งของ

ต่างๆขึ้นมาในวันปิดภาคเรียน ในขณะที่สัตว์เลี้ยงของทั้งคู่ก็มีหน้าที่เป็นสายลับ

ที่ต้องคอยสืบ เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของศัตรู

---------------------------------------------------------------------------------


Main Character (ตัวละครหลัก)


1. ฟีเนียส (ฟีเนียส ฟลินน์ [Phineas Flynn])

เป็นเด็กผู้ชาย สัญชาติอเมริกัน ไม่ทราบอายุแต่มีอายุต่ำกว่าสิบห้าปี

มีนิสัยพูดมาก ร่าเริง มักร่วมมือกับพี่ชายสร้างสิ่งประดิษฐ์เสมอๆ

มีพี่สองคน (คนหนึ่งเป็นพี่แท้ๆ อีกคนหนึ่งเป็นพี่ชายต่างแม่ อายุน่าจะไล่เลี่ยกัน)

มีสัตว์เลี้ยงเป็นตุ่นปากเป็ดชื่อแพร์รี่

------------------------------------------------------------------------------------




2.เฟิร์บ (เฟิร์บ เฟลชเชอร์ [Ferb Fletcher])

เป็นพี่ชายต่างแม่ของฟีเนียส เป็นเด็กผู้ชาย สัญชาติอังกฤษ ไม่ทราบอายุ

แต่น้อยกว่าสิบห้าปีและมากกว่าฟีเนียส มักร่วมมือกับฟีเนียสสร้างสิ่งประดิษฐ์เสมอ

มีนิสัย พูดน้อย แต่มีความสามารถพิเศษคือพูดกับชาวดาวอังคารได้

มีสัตว์เลี้ยงร่วมกับฟีเนียสคือแพร์รี่

(ข้อมูลใหม่ เพิ่มเมื่อ 15/1/58 : เฟิร์บสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้

[summer belong to you])
------------------------------------------------------------------------------------



3.ตุ่นปากเป็ดแพร์รี่(ล่าง)/สายลับพี(บน) (Perry The Platypus / Agent P)

ตุ่นปากเป็ดแพร์รี่เป็นสัตว์เลี้ยงของฟีเนียสกับเฟิร์บ ที่พ่อแม่ซื้อให้เขา

โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ว่าตุ่นตัวนี้เป็นสายลับขององค์กร โอ.ดับบลิว.ซี.เอ (o.w.c.a)

ที่ทำงานสืบเรื่องราวของศัตรูขององค์กรแบบลับๆที่บริษัท evil

โดยที่เจ้าของแทบจะไม่รู้เรื่องนี้เลย

(แต่ความจริงก็ปรากฎ ในภาคพิเศษตอนยาว Across 2nd dimention)

------------------------------------------------------------------------------------





4.แคนเดซ   (แคนเดซ ฟลินน์ [Candace Flynn])

เป็นพี่สาวแท้ๆของฟีเนียส มีนิสัยขี้ฟ้อง เมื่อเห็นฟีเนียสกับเฟิร์บสร้างสิ่งประดิษฐ์

ก็มักจะไปฟ้องแม่ทันที แต่ไม่เคยที่จะสำเร็จเลย มีเพื่อนสนิทชื่อ สเตย์ซี่ (คนขวา)

และแอบชอบ เจเรมี เพื่อนหนุ่มของเธออีกด้วย

------------------------------------------------------------------------------------




4. ดอกเตอร์ดูเฟนซเมิร์ซ ( ไฮนซ์ ดูเฟนซเมิร์ซ [Heinz Doofenshmirtz])

เป็นตัวร้ายของการ์ตูนเรื่องนี้ เป็นนักประดิษฐ์ที่ชอบสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ในการ

สร้างความวุ่นวายอยู่เสมอๆ และสิ่งประดิษฐ์ของเขามักจะมีคำว่า Inator

ต่อท้ายอยู่เสมอๆ สิ่งประดิษฐ์ที่เขาสร้างขึ้นบางชิ้นก็มาจากความเจ็บปวดในวัยเด็ก

ที่แม่ของเขารักน้องชายมากกว่าตัวเขา (จะมีตอนหนึ่งที่เขาสร้างภูเขาไฟผงฟู

เพื่อไปชิงตำแหน่งที่หนึ่งในการประกวด ที่เขาชวดเพราะภูเขาไฟมาตั้งแต่เด็ก)

(และยังมีอีกตอนหนึ่งที่เขาสร้างจรวดออกไปนอกโลกเพื่อรอเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น

เพื่อที่จะเล่นเงายักษ์บนโลก โดยที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะว่าสมัยที่เขาเป็นวัยรุ่น

เขาเล่นเงาเก่งมาก จนปิ๊งสาวคนหนึ่ง แต่ในเวลาต่อมาก็มีคนมือยักษ์มาแย่งสาว

จากเขาไป เพราะด้วยความที่ผู้ชายคนนั้นเป็นคนมือใหญ่มากกก)

แต่แผนก่อความวุ่นวายก็ต้องพังลงทุกครั้งเพราะสายลับพีมาขัดไว้นั่นเอง

เขามีลูกสาวชื่อ วาเนซซ่า (คนที่เฟิร์บแอบชอบ) มีแฟนชื่อชาลี

(เป็นเพื่อนกับแม่ของฟีเนียส) และดูเฟนซเมิร์ซมีอายุ 47 ปี

-----------------------------------------------------------------------------------


ช่องทางการรับชมการ์ตูนเรื่องนี้ (เท่าที่รู้)

ช่อง 7 รายการ disney club hits ทุกวันพฤหัสกับศุกร์ ต่อจาก lilo & stitch


ขอจบเพียงเท่านี้ ถ้าข้อมูลผิด อยากเพิ่มเติม ก็เม้นได้เลยค่ะ

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

8 : WPV7

โปรแกรมWindows Photo Viewer 7 เป็นโปรแกรมดูรูปที่ติดมากับเครื่องที่ลงวินโดวส์ 7 ไว้ มันจะเรียกใช้ได้ก็ต่อเมื่อเราอยากดูรูปใดรูปนึงของเครื่องเรา เราก็กดดับเบิ้ลคลิ๊ก มันก็จะเด้งเข้าโปรแกรมนี้อัตโนมัติ 

สำหรับการใช้งานนั้นไม่ยากเราเริ่มจากข้างบนกันเถอะ
แท็บแรกจะเป็น แท็บ File  สามารถก็อปรูปได้ ลบรูปได้ และปิดโปรแกรมได้
แท็บต่อมาคือแท็บปริ้น ถ้าเราอยากจะปริ้นรูปไหนเราก็กดปุ่มนี้เลือกเครื่องปริ้นแล้วก็สั่งปริ้นได้จากโปรแกรมนี้เลย
แท็บต้่อมาคือ Email มันจะเชื่อมต่อกับ Outlook
ต้่อมาคือแท็บ Burn คือ Write รูปลงแผ่น
แท็บ Open ก็คือสามารถให้รูปนี้ไปเปิดในโปรแกรมอื่นได้ผ่านแท็บนี้เลย
ส่วนข้างล่างที่เห็นปุ่มสีฟ้าใหญ่นั่นก็คือ SlideShow ทำให้รูปเต็มหน้าจอ

ขอจบการรีวิวโปรแกรมเพียงเท่านี้ค่ะขอบคุณค่ะ

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 7 : คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

เซย์ไฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ ทุกคน วีคนี้เดี๊ยนจะพูดถึงคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ น้าาาาาา มีใครคิดถึงเจ๊ไหมเอ้่ยยยยยยย
......
กริบ.....
โอเคไร้สาระพอแล้ว เรามาเข้าเนื้อหากันดีกว่าคือวีคนี้จะพูดถึง คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ว่าเป็นยังไงที่มาเป็นไงมีอะไรบ้างทำนองนี้นะ
เราไปดูกันเลยเถอะ
เดี๋ยวจะเสียเวลาไปมากกว่านี้
คอมพิวเตอร์ (computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์ เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย
คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป
หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน
คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
ประเภทของคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale integrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน

เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)

เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จำนวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจำนวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทำบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก

มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)

มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลายคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจำนวนที่เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทำให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสำหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น

ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC)

ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกะทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูก ๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่น ๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า

โน้ตบุ๊ค (notebook or laptop)

โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่าง ๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา ในปัจจุบันมีขนาดพอ ๆ กับสมุดที่ทำด้วยกระดาษ

เน็ตบุ๊ค (netbook or laptop)

เน็ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และเล็กกว่าโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่าง ๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา

อัลตร้าบุ๊ค (Ultrabook)

อัลตร้าบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และมีขนาดเท่ากับโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่าง ๆ และน้ำหนักเบากว่าโน้ตบุ๊ค และเน้นความสวยงาม ทันสมัย แปลกใหม่

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ (tablet computer)

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แท็บเล็ต คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะเคลื่อนที่ได้ ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนหรือแบบสไลด์ก็ตาม 

ต่อไปก็จะเป็น ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เชิญชมค่าาาาาาาาาา

    เครือข่ายคอมพิวเตอร์
                 การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้
สิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น คือ การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน และการเชื่อมต่อหรือการสื่อสาร การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน หรือการนำข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร เช่น แบ่งกันใช้ซีพียู แบ่งกันใช้ฮาร์ดดิสก์ แบ่งกันใช้โปรแกรม และแบ่งกันใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีราคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาให้ทุกคนได้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวางและมากขึ้นจากเดิม
การเชื่อมต่อในความหมายของระบบเครือข่ายท้องถิ่น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การเชื่อมต่อระหว่างเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แต่ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้การทำงานเฉพาะมีขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น มีการใช้เครื่องบริการแฟ้มข้อมูลเป็นที่เก็บรวบควมแฟ้มข้อมูลต่างๆ มีการทำฐานข้อมูลกลาง มีหน่วยจัดการระบบสือสารหน่วยบริการใช้เครื่องพิมพ์ หน่วยบริการการใช้ซีดี หน่วยบริการปลายทาง และอุปกรณ์ประกอบสำหรับต่อเข้าในระบบเครือข่ายเพื่อจะทำงานเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในรูป เป็นตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มเชื่อมโยงเป็นระบบ

ตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มอุปกรณ์รอบข้างเชื่อมโยงเป็นระบบ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดความสามารถในการปฎิบัติการร่วมกัน ซึ่งหมายถึงการให้อุปกรณ์ทุกชิ้นที่ต่ออยู่บนเครือข่ายทำงานร่วมกันได้ทั้งหมดในลักษณะที่ประสานรวมกัน โดยผู้ใช้เห็นเสมือนใช้งานในอุปกรณ์เดียวกัน จึงเป็นวิธีการในการนำเอาอุปกรณ์ต่างชนิดจำนวนมาก มารวมกันเป็นเสมือนระบบเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่อุปกรณ์เหล่านั้นอาจจะมาจากต่างยี่ห้อ ต่างบริษัท ก็ได้

โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (TOPOLOGY)

        การนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ของการสื่อสารนั้น สามารถกระทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยทึ่วไปแล้วโครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถจำแนกตามลักษณะของการเชื่อมต่อดังต่อไปนี้

        1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส (bus topology)
        โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส จะประกอบด้วย สายส่งข้อมูลหลัก ที่ใช้ส่งข้อมูลภายในเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะเชื่อมต่อเข้ากับสายข้อมูลผ่านจุดเชื่อมต่อ เมื่อมีการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องพร้อมกัน จะมีสัญญาณข้อมูลส่งไปบนสายเคเบิ้ล และมีการแบ่งเวลาการใช้สายเคเบิ้ลแต่ละเครื่อง ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส คือ ใช้สื่อนำข้อมูลน้อย ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบโดยรวม แต่มีข้อเสียคือ การตรวจจุดที่มีปัญหา กระทำได้ค่อนข้างยาก และถ้ามีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากเกินไป จะมีการส่งข้อมูลชนกันมากจนเป็นปัญหา



        2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology)
        โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่แต่ละการเชื่อมต่อจะมีลักษณะเป็นวงกลม การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายนี้ก็จะเป็นวงกลมด้วยเช่นกัน ทิศทางการส่งข้อมูลจะเป็นทิศทางเดียวกันเสมอ จากเครื่องหนึ่งจนถึงปลายทาง ในกรณีที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งขัดข้อง การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายชนิดนี้จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ข้อดีของโครงสร้าง เครือข่ายแบบวงแหวนคือ ใช้สายเคเบิ้ลน้อย และถ้าตัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เสียออกจากระบบ ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบเครือข่ายนี้ และจะไม่มีการชนกันของข้อมูลที่แต่ละเครื่องส่ง



        3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว (star topology)
        โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว ภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะต้องมีจุกศูนย์กลางในการควบคุมการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรือ ฮับ (hub) การสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ จะสื่อสารผ่านฮับก่อนที่จะส่งข้อมูลไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบดาวมีข้อดี คือ ถ้าต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็สามารถทำได้ง่ายและไม่กระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในระบบ ส่วนข้อเสีย คือ ค่าใช้จ่ายในการใช้สายเคเบิ้ลจะค่อนข้างสูง และเมื่อฮับไม่ทำงาน การสื่อสารของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบก็จะหยุดตามไปด้วย

ขอขอบคุณที่ติดตามชมนะค้าาาาา เดี๋ยววีคหน้าต้องเริ่ดกว่านี้แน่นอนจ่ะ ♥♥♥

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 5 : Power Bank

ในปัจจุบันนี้พาวเวอร์แบงค์เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตเพราะคนเรามีการติดต่อสื่อสารด้วยโทรศัพท์มากขึ้นเดี๊ยนจึงเอาวิธีการเลือกซื้อ Power Bank มาฝากกันค่ะ ขอให้ทุกคนรับชมอย่างมีความสุขน่ะคะ

วิธีการเลือกซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) จากประสบการณ์จริง พร้อมวิธีการดูแลให้ใช้งานได้นาน ๆ


=================================
ปัจจัยที่ทำให้แบตเตอร์รี่หมดเร็ว
=================================

อุปกรณ์สมาร์ทโฟนปัจจุบันมีความสามารถเยอะก็จริง แต่ใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากด้วย ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอร์รี่มากน้อยของการใช้งานแต่ละคน มีดังนี้ครับ

- ขนาดหน้าจอและความละเอียด เป็นส่วนของอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากที่สุดเลย
- ความสว่างของหน้าจอ ยิ่งสว่างมากใช้พลังงานมาก
- รับสัญญาณ 3G หรือ WiFi ถ้ากำลังรับสัญญาณ 3G จะใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากกว่าใช้ WiFi

- ระยะเวลาการใช้โทรเข้า/ออก
- ระยะเวลาการใช้แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เช่น เปิดซิงค์อีเมล์ทุก 5 นาที จะใช้พลังงานมาก
- ประเภทของแอพ เช่น แอพเกมส์จะใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากกว่าแอพอีเมล์/เฟสบุ๊ค

ดังนั้น ตอนเลือกซื้อมือถือ / แทบเลต "ห้ามพิจารณา" เฉพาะสเปคเครื่องเท่านั้น แต่ให้ดู "ความจุของแบตเตอร์รี่" ด้วยครับ ซึ่งในท้องตลาด ณ ตอนนี้ สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ขนาด 4.3 นิ้วขึ้นไป ควรมีแบตเตอร์รี่ความจุอย่างน้อย 2,000 mA และ แทบเล็ตควรมีความจุของแบตเตอร์รี่อย่างน้อย 6,000 mA ถ้าความจุแบตเตอร์รี่น้อยกว่านี้ .. อาจใช้งานได้แค่ 4-6 ชั่วโมงก็แบตเตอร์รี่หมดแล้ว


=================================
แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) จำเป็นไหม ?
=================================

จำเป็นหรือไม่ ? คุณตอบเองได้ครับว่า หงุดหงิดเพราะแบตเตอร์รี่หมดก่อนจะหาปลั๊กไฟชาร์ตมากขนาดไหน ? อาการหงุดหงิดไม่ว่าจะมีเหตุผลจำเป็น เช่น กำลังทำงานส่งอีเมล์ / ติดต่อลูกค้า ฯลฯ หรือ เหตุผลรอง เช่น ฟังเพลงระหว่างเดินทาง / แชทกับเพื่อน ฯลฯ

ถ้าหงุดหงิดมาก ใจสั่น กระวนกระวาย .. จงซื้อแบตเตอร์รี่สำรองมาใช้โดยพลันครับ


=================================
แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) คือ อะไร ?
=================================
แบตเตอร์รี่สำรอง คือ แบตเตอร์รี่ที่มีการออกแบบความจุมากหลาย ๆ เท่า ห่อหุ้มด้วยวัสดุกันระเบิดอย่างแน่นหนาเพื่อให้สะดวกพกพาเดินทาง พร้อมมีช่องจ่ายกระแสไฟฟ้าบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่ และ มีช่องจ่ายพลังงานจากแบตเตอร์รี่เข้าสู่สมาร์ทโฟน/แทบเล็ต

ในท้องตลาดมีหลายแบรนด์มาก ๆ ส่วนใหญ่ผลิตที่ประเทศจีนครับ แม้แต่แบรนด์ดัง ๆ เช่น Enerigizer / Sanyo ฯลฯ เพียงแต่ต่างกันที่กระบวนการควบคุมคุณภาพ และวัสดุที่นำมาผลิต ดังนั้น อย่าได้พูดว่าของจีนแดงไม่ดีครับ เพราะอุปกรณ์อิเล็คทริคส์ชั้นนำของโลกกว่า 50% ผลิตโดย "ประเทศจีน" ครับ :)


=================================
เลือกซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ต้องดูอะไรบ้าง ?
=================================

(1) ความจุของแบตเตอร์รี่มือถือ/แทบเลตของคุณ x 2.5 เป็นอย่างน้อย – 30% ของความจุแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)
ผมขอยกตัวอย่าง Samsung Galaxy Note 2 นะครับ

1.1 ความจุของแบตเตอร์รี่ คือ 3,100 มิลลิแอมป์ ให้เอา x2.5 เข้าไป ได้ค่าเท่ากับ 7,750 มิลลิแอมป์
1.2 ความจุเป้าหมายของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ของผม คือ 7,750 x30% ได้ค่าเท่ากับ 2,325 มิลลิแอมป์
1.3 ความจุที่ผมจะได้จริงเพื่อเอาไปใช้งานของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) คือ 7,750 – 2,325 ได้เท่ากับ 5,425 มิลลิแอมป์


ดังนั้น ผมก็จะมองหาความจุของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ที่จุได้อย่างน้อย 7,750 มิลลิแอมป์ชึ้นไปเท่านั้นครับ เพื่อจะชาร์ต Note 2 ได้อย่างน้อย 2 รอบ (รอบละ 50%)

 


(2) อัตราการคายประจุของตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)

อันนี้สำคัญมากครับ เพราะแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เมื่อได้รับการชาร์ตไฟบ้านเข้าจนเต็มตัวมันเองแล้ว เราก็จะถอดปลั๊ก แล้วก็พกมันเพื่อเดินทางไปกับเราระหว่างวัน ทันทีทีหยุดชาร์ตไฟ ตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) มันจะเริ่มคายพลังงานประจุไฟฟ้าที่มันเก็บไว้ ทิ้งออกไปเรื่อย ๆ (สลายตัวมันเอง) ซึ่งเป็นลักษณะของมันอยู่แล้วครับ ถ้าเลือกแบรนด์ต่ำ ๆ คุณภาพไม่ดีอัตราการคายประจุจะเร็วมากกกก มากจนมันคายหมดไปเลยครับ

ยกตัวอย่างประสบการณ์เลวร้ายของผมครับ
08.00 น.  
ผมชาร์ต Note 2 และ แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เต็ม 100%

13.00 น.
Note 2 ผมแบตเตอร์รี่อ่อนเหลือ 30% ผมก็จะหยิบแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ออกมาเพื่อชาร์ตไฟเข้าให้กับมือถือ แป๊กครับ ไม่มีกระแสไฟฟ้าเหลือในแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ของผมเลย เพราะมันคายประจุหมด

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แบรนด์ล่าง ๆ ราคา 990 บาทที่มีขายกันเกร่อครับ ซึ่งเหตุการณ์ “คายประจุจนหมด” นี้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณหากคุณซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แบรนด์ดัง ๆ เช่น Sanyo / Power Rocks /  Yooboa




(3) อัตราการรับไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) และอัตราการจ่ายไฟออกจากแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ให้กับมือถือ / แทบเล็ต

อันนี้สำคัญมาก เพราะระยะเวลาการชาร์ตหากชาร์ตนานก็ทำให้เราหงุดหงิดมิใช่น้อยครับ  ให้พิจารณาที่ฉลากข้างกล่องได้เลยครับตรงที่พิมพ์แบบนี้

Input : DC 5V – 2.1 A (max)
หมายความว่า ตอนชาร์ตไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าไปเก็บสูงสุดต่อหน่วยเวลา คือ 2.1 แอมป์ (ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เร็วมากและปลอดภัยสำหรับแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แล้วหละครับ) ดังนั้น ถ้าพิมพ์ว่า 1.0 A (max) ก็แสดงว่า ชาร์ตไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) นานมากครับ ยิ่งความจุ 10,000 มิลลิแอมป์ อาจนานถึง 15 ชั่วโมงเลยทีเดียว

Output : DC 5V – 2.1 A
หมายความว่า ตอนชาร์ตมือถือ / แทบเล็ตเข้ากับตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แล้ว กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าสูงสุดต่อหน่วยเวลา คือ 2.1 แอมป์ (ยิ่งมาก ยิ่งดี  2.1 A ถือว่าเร็วมาก ๆ ซึ่งปกติในท้องตลาดจะมี 1.0 A กับ 2.1 A ครับ)




(4) ราคา
แบรนด์ที่มีชื่อเสียงจะมีราคาสูง คือ 2,000 บาทขึ้น เพราะคุณจะได้รับการรับประกัน 6 เดือน ถึง 1 ปี และคุณภาพเรื่องการคายประจุที่ต่ำ (ทำให้เก็บไฟในตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ได้นานขึ้น)

อีกปัจจัยที่ทำให้ราคาสูงขึ้น คือ ปริมาณการปล่อยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เข้าอุปกรณ์มือถือ  / แทบเลต ซึ่งราคา 2,000 – 2,500 บาท จะปล่อยเข้าที่ 1.0 แอมป์  แต่ถ้าราคา 3,000 บาทขึ้นจะอยู่ที่ 2.1 แอมป์ (สูงสุดสำหรับอุปกรณ์มือถือ / แทบเลตครับ)




(5) อุปกรณ์เสริม
ปกติแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ที่มีขายจะไม่มี “หัวปลั๊กไฟ” ที่ใช้ต่อไฟบ้านเพื่อชาร์ตไฟเข้าแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) มาพร้อมในกล่องด้วยนะครับ เพราะ “หัวปล๊กไฟ” นี้สามารถใช้ร่วมกับของมือถือ / แทบเล็ตในยุคปัจจุบันที่มีพอร์ต USB ที่ “หัวปลั๊กไฟ” อยู่แล้ว (หัวปลั๊กไฟจะแปลงกระแสไฟบ้าน 220 โวลต์ เป็นกี่แอมป์ให้ดูที่หัวปลั๊กไฟได้เลยครับ ตรงบรรทัดที่เขียนว่า Output ) ดังนั้น ให้ดูว่ามีหัวปลั๊กแปลงที่เข้ากับอุปกรณ์ของเราครบถ้วนหรือไม่ครับ

=================================
แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ยี่ห้อไหนดีหละ ?
=================================

ผมขอระบุตาม “ประสบการณ์จริง” ของผม ดังนี้ครับ

Power Rocks
ผมใช้ตัวนี้ครับ (ราคา 3,890 บาท ความจุ 7,800 มิลลิแอมป์) อัตราคายประจุต่ำ ชาร์ตไฟเข้า Note 2 ได้ 38% ต่อ 1 ชั่วโมง ในสถานการณ์จริงแบตเตอร์รี่ Note 2 ต่ำเหลือ 50% ผมก็ใช้ Power Rocks มาต่อกับ Note 2 แล้วหละครับ แป๊ปเดียวเต็มครับ ชาร์ตเสร็จแล้วตัว Power Rocks ยังเหลือกระแสไฟอีก 70% ให้ใช้ต่อได้ครับ รับประกันตลอดอายุการใช้งานอีกด้วยครับ


Yoobao
ความจุเยอะ ราคาถูก อัตราการคายประจุต่ำ แต่อัตราตอนชาร์ตไฟจาก Yoobao เข้ามือถือ / แทบเล็ตช้ามากครับ ประมาณ 8% ต่อ 1 ชั่วโมง  แต่ก็ขึ้นกับความจุของแบตเตอร์รี่มือถือด้วยนะครับ ถ้าความจุน้อยเช่น 1,500 มิลลิแอมป์ ก็จะได้ประมาณ 16% ต่อ 1 ชั่วโมง (เพราะ 8% ผมเทียบจาก Note 2 ครับ)

แต่เดี๋ยวก่อนครับ Yoobao แปลกอย่าง คือ ถ้าใช้หัวแปลงของ iPad 2 / iPhone 5 แล้วขาร์ตเข้ากับอุปกรณ์ของ Apple ปรากฏว่า ชาร์ตได้เร็วมากครับ ประมาณ 30% ต่อชั่วโมงทีเดียว
ผมเลยสรุปเอาเองว่า Yoobao ไม่เหมาะกับอุปกรณ์มือถือ / แทบเล็ตที่มีใช้พอร์ตชาร์ตแบบ Samsung ครับ แต่เหมาะกับคนใช้อุปกรณ์ของ Apple ครับ

Power Max
คายประจุเร็วและราคาสูง




=================================
รักษาแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ยังไงให้ทนทาน ?
=================================

ตอนซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ครั้งแรกให้ชาร์ตด้วยอัตราไฟเข้าต่ำ (ถ้าทำได้) คือ ไม่ใช้ไฟบ้านวิ่งเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) โดยตรงครับ แต่ให้ใช้ไฟจากคอมพิวเตอร์ / Notebook เป็นแหล่งจ่ายไฟเข้าแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แทนก่อน


ถ้าใช้แหล่งไฟจากไฟบ้าน ควรชาร์ตครั้งแรก 12 ชั่วโมงต่อความจุของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) 10,000 มิลลิแอมป์ครับ

ถ้าใช้แหล่งไฟจากคอมพิวเตอร์ / Notebook ควรชาร์ตครั้งแรก 24 ชั่วโมงต่อความจุของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) 10,000 มิลลิแอมป์ครับ

เหตุผลที่ครั้งแรกให้ชาร์ตด้วยอัตราไฟเข้าต่ำ เพราะต้องการกระตุ้นเซลล์เก็บประจุ ประเภท Li-On ของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เองให้ครบทุกเซลล์ครับ
หลังจากครั้งแรกแล้ว ถ้าสามารถชาร์ตแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)  ด้วยไฟต่ำได้เสมอจะรักษาให้แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) มีอายุการใช้งานนานขึ้นครับ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ขาร์จไฟบ้านตามปกติได้ แต่อายุการใช้งานก็จะเป็นไปตามจริงของมันครับ (อายุการใช้งาน 1-2 ปี แล้วแต่การใช้งานครับ)

แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เกลียดความร้อนครับ ยิ่งใกล้ความร้อนตัวเซลล์ในแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เองจะเสื่อมไว ดังนั้นงดวางไว้ในรถที่ตากแดด / หลังอุปกรณ์คอมพ์ที่ร้อน

แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) จะเสื่อมเร็วถ้าเราต่อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)เข้ากับมือถือ / แทบเล็ต แล้วใช้อุปกรณ์เข้าเน็ต  / เล่นเกมส์ไปด้วยครับ ดังนั้น ควรปล่อยให้แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)จ่ายไฟเข้าอุปกรณ์มือถือ / แทบเล็ตจนเต็ม แล้วถอดปลั๊กออก  จึงค่อยใช้งานอุปกรณ์ครับ

แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) จะเสื่อมเร็วมากขึ้น ถ้าเราไม่ชาร์จไฟให้ตัวเขาเต็มอยู่เสมอ หากเห็นว่าสถานะไฟบนตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เหลือต่ำกว่า 30% แล้ว “ควรหยุดใช้งาน” ครับ เพราะถ้าขืนคุณหยิบแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)ไปจ่ายไฟเข้ามือถือ / แทบเล็ต จนไฟในตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)หมดเกลี้ยง คุณจะเห็นอาการ “ตายสนิท” ของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เร็วมากขึ้นครับ

=================================
เพิ่มเติม ข้อมูลเชิงตัวเลขของแบตเตอร์รี่สำรอง แบรนด์ Power Rocks
=================================
ถาม : อัตราการชาร์ตไฟบ้านเข้าตัว Power Rocks จนเต็มเท่าไหร่ ?
ตอบ : ใช้เวลา 12 ชั่วโมงในการชาร์จจนเต็ม (หากใช้จน Power Rocks เหลือ 20%) หมายความว่า ใช้เวลาชาร์จอีก 80% ประมาณ 12 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้จนหมดเกลี้ยง (ผมยังไม่เคย) ค่าดว่าจะใช้เวลา 16 ชั่วโมงในการชาร์จจนเต็มครับ

ถาม : อัตราการจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัว Power Rocks เข้าสู่ Samsung Galaxy Note 2  เท่าไหร่ ?
ตอบ : คือ 2.1 แอมป์ครับ แต่ก็ขึ้นกับการรับกระแสไฟของอุปกรณ์ของคุณ

ถาม : ระยะเวลาการจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัว Power Rocks เข้าสู่ Samsung Galaxy Note 2  เท่าไหร่ ?
ตอบ : ระยะเวลาการจ่าย คือ 0.63% ต่อนาที ดังนั้น 1 ชั่วโมงชาร์ตไฟเข้า Note 2 ได้ถึง 38% ครับ

=================================
บทความนี้มีลิขสิทธิ์ โดย นายแทมดอทคอม (Naitam.com) ผมไม่อนุญาตให้คัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใด หรือ ทั้งหมด เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ยกเว้นใช้อ้างอิงเพื่อความรู้
=================================



ขอขอบคุณที่ติดตามชมนะคะ ถ้าจะเลือกซื้อพาวเวอร์แบงค์ก็ระมัดระวังหน่อยนะคะ ♥

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 4 : โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (C)

สำหรับวันนี้จะมีพูดถึงภาษาซี ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมสำหรับคอมพิวเตอรืซึ่งมันยากมาก ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่เองเหมือนกัน  แต่ก็จะพยายามอธิบาย พยายามศึกษาค่ะ ขอบคุณค่ะ ♥

ภาษาซี (C) เป็นภาษาโปรแกรมสำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไป เริ่มพัฒนาขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2512-2516 (ค.ศ. 1969-1973) โดยเดนนิส ริชชี่ (Denis Retchie) ที่เอทีแอนด์ทีเบลล์แล็บส์ (AT&T Bell Labs) ภาษาซีมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกสำหรับการเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้างและอนุญาตให้มีขอบข่ายตัวแปร (scope) และการเรียกซ้ำ (recursion) ในขณะที่ระบบชนิดตัวแปรอพลวัตก็ช่วยป้องกันการดำเนินการที่ไม่ตั้งใจหลายอย่าง เหมือนกับภาษาโปรแกรมเชิงคำสั่งส่วนใหญ่ในแบบแผนของภาษาอัลกอล การออกแบบของภาษาซีมีคอนสตรักต์ (construct) ที่โยงกับชุดคำสั่งเครื่องทั่วไปได้อย่างพอเพียง จึงทำให้ยังมีการใช้ในโปรแกรมประยุกต์ซึ่งแต่ก่อนลงรหัสเป็นภาษาแอสเซมบลี คือซอฟต์แวร์ระบบอันโดดเด่นอย่างระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ยูนิกซ์ 
ภาษาซีเป็นภาษาโปรแกรมหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดตลอดกาล  และตัวแปลโปรแกรมของภาษาซีมีให้ใช้งานได้สำหรับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการต่าง ๆ เป็นส่วนมาก
ภาษาหลายภาษาในยุคหลังได้หยิบยืมภาษาซีไปใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตัวอย่างเช่น ภาษาดี ภาษาโก ภาษารัสต์ ภาษาจาวา จาวาสคริปต์ ภาษาลิมโบ ภาษาแอลพีซี ภาษาซีชาร์ป ภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซี ภาษาเพิร์ล ภาษาพีเอชพี ภาษาไพทอนภาษาเวอริล็อก (ภาษาพรรณนาฮาร์ดแวร์)  และซีเชลล์ของยูนิกซ์ ภาษาเหล่านี้ได้ดึงโครงสร้างการควบคุมและคุณลักษณะพื้นฐานอื่น ๆ มาจากภาษาซี ส่วนใหญ่มีวากยสัมพันธ์คล้ายคลึงกับภาษาซีเป็นอย่างมากโดยรวม (ยกเว้นภาษาไพทอนที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง) และตั้งใจที่จะผสานนิพจน์และข้อความสั่งที่จำแนกได้ของวากยสัมพันธ์ของภาษาซี ด้วยระบบชนิดตัวแปร ตัวแบบข้อมูล และอรรถศาสตร์ที่อาจแตกต่างกันโดยมูลฐาน ภาษาซีพลัสพลัสและภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซีเดิมเกิดขึ้นในฐานะตัวแปลโปรแกรมที่สร้างรหัสภาษาซี ปัจจุบันภาษาซีพลัสพลัสแทบจะเป็นเซตใหญ่ของภาษาซี  ในขณะที่ภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซีก็เป็นเซตใหญ่อันเคร่งครัดของภาษาซี [10]
ก่อนที่จะมีมาตรฐานภาษาซีอย่างเป็นทางการ ผู้ใช้และผู้พัฒนาต่างก็เชื่อถือในข้อกำหนดอย่างไม่เป็นทางการในหนังสือที่เขียนโดยเดนนิส ริตชี และไบรอัน เคอร์นิกัน (Brian Kernighan) ภาษาซีรุ่นนั้นจึงเรียกกันโดยทั่วไปว่า ภาษาเคแอนด์อาร์ซี(K&R C) ต่อมา พ.ศ. 2532 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (ANSI) ได้ตีพิมพ์มาตรฐานสำหรับภาษาซีขึ้นมา เรียกกันว่า ภาษาแอนซีซี (ANSI C) หรือ ภาษาซี89 (C89) ในปีถัดมา องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) ได้อนุมัติให้ข้อกำหนดเดียวกันนี้เป็นมาตรฐานสากล เรียกกันว่า ภาษาซี90 (C90) ในเวลาต่อมาอีก องค์การฯ ก็ได้เผยแพร่ส่วนขยายมาตรฐานเพื่อรองรับสากลวิวัตน์ (internationalization) เมื่อ พ.ศ. 2538 และมาตรฐานที่ตรวจชำระใหม่เมื่อ พ.ศ. 2542 เรียกกันว่า ภาษาซี99 (C99) มาตรฐานรุ่นปัจจุบันก็ได้รับอนุมัติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 เรียกกันว่า ภาษาซี11 (C11) 

ลักษณะเฉพาะ

ภาษาซีมีสิ่งอำนวยสำหรับการเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้าง และสามารถกำหนดขอบข่ายตัวแปรและเรียกซ้ำ เช่นเดียวกับภาษาโปรแกรมเชิงคำสั่งส่วนใหญ่ในสายตระกูลภาษาอัลกอล ในขณะที่ระบบชนิดตัวแปรแบบอพลวัตช่วยป้องกันการดำเนินการที่ไม่ได้ตั้งใจ รหัสที่ทำงานได้ทั้งหมดในภาษาซีถูกบรรจุอยู่ในฟังก์ชัน พารามิเตอร์ของฟังก์ชันส่งผ่านด้วยค่าของตัวแปรเสมอ ส่วนการส่งผ่านด้วยการอ้างอิงจะถูกจำลองขึ้นโดยการส่งผ่านค่าตัวชี้ ชนิดข้อมูลรวมแบบแตกต่าง (struct) ช่วยให้สมาชิกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันสามารถรวมกันและจัดการได้ในหน่วยเดียว รหัสต้นฉบับของภาษาซีเป็นรูปแบบอิสระ ซึ่งใช้อัฒภาค (;) เป็นตัวจบคำสั่ง (มิใช่ตัวแบ่ง)
ภาษาซียังมีลักษณะเฉพาะต่อไปนี้เพิ่มเติม
  • ตัวแปรอาจถูกซ่อนในบล็อกซ้อนใน
  • ชนิดตัวแปรไม่เคร่งครัด เช่นข้อมูลตัวอักษรสามารถใช้เป็นจำนวนเต็ม
  • เข้าถึงหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ในระดับต่ำโดยแปลงที่อยู่ในเครื่องด้วยชนิดตัวแปรตัวชี้ (pointer)
  • ฟังก์ชันและตัวชี้ข้อมูลรองรับการทำงานในภาวะหลายรูปแบบ (polymorphism)
  • การกำหนดดัชนีแถวลำดับสามารถทำได้ด้วยวิธีรอง คือนิยามในพจน์ของเลขคณิตของตัวชี้
  • ตัวประมวลผลก่อนสำหรับการนิยามแมโคร การรวมไฟล์รหัสต้นฉบับ และการแปลโปรแกรมแบบมีเงื่อนไข
  • ความสามารถที่ซับซ้อนเช่น ไอ/โอ การจัดการสายอักขระ และฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ รวมอยู่ในไลบรารี
  • คำหลักที่สงวนไว้มีจำนวนค่อนข้างน้อย
  • ตัวดำเนินการแบบประสมจำนวนมาก อาทิ +=-=*=++ ฯลฯ
โครงสร้างการเขียน คล้ายภาษาบีมากกว่าภาษาอัลกอล ตัวอย่างเช่น
  • ใช้วงเล็บปีกกา { ... } แทนที่จะเป็น begin ... end ในภาษาอัลกอล 60 หรือวงเล็บโค้ง ( ... ) ในภาษาอัลกอล 68
  • เท่ากับ = ใช้สำหรับกำหนดค่า (คัดลอกข้อมูล) เหมือนภาษาฟอร์แทรน แทนที่จะเป็น := ในภาษาอัลกอล
  • เท่ากับสองตัว == ใช้สำหรับเปรียบเทียบความเท่ากัน แทนที่จะเป็น .EQ. ในภาษาฟอร์แทรนหรือ = ในภาษาเบสิกและภาษาอัลกอล
  • ตรรกะ "และ" กับ "หรือ" แทนด้วย && กับ || ตามลำดับ แทนที่จะเป็นตัวดำเนินการ ∧ กับ ∨ ในภาษาอัลกอล แต่ตัวดำเนินการดังกล่าวจะไม่ประเมินค่าตัวถูกดำเนินการทางขวา ถ้าหากผลลัพธ์จากทางซ้ายสามารถพิจารณาได้แล้ว เหตุการณ์เช่นนี้เรียกว่าการประเมินค่าแบบลัดวงจร (short-circuit evaluation) และตัวดำเนินการดังกล่าวก็มีความหมายต่างจากตัวดำเนินการระดับบิต & กับ |

คุณลักษณะที่ขาดไป

ธรรมชาติของภาษาในระดับต่ำช่วยให้โปรแกรมเมอร์ควบคุมสิ่งที่คอมพิวเตอร์กระทำได้อย่างใกล้ชิด ในขณะที่อนุญาตให้มีการปรับแต่งพิเศษและการทำให้เหมาะที่สุดสำหรับแพลตฟอร์มหนึ่งใดโดยเฉพาะ สิ่งนี้ทำให้รหัสสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบนฮาร์ดแวร์ที่มีทรัพยากรจำกัดมาก ๆ ได้เช่นระบบฝังตัว
ภาษาซีไม่มีคุณลักษณะบางอย่างที่มีในภาษาอื่นอาทิ
  • ไม่มีการนิยามฟังก์ชันซ้อนใน
  • ไม่มีการกำหนดค่าแถวลำดับหรือสายอักขระโดยตรง (การคัดลอกข้อมูลจะกระทำผ่านฟังก์ชันมาตรฐาน แต่ก็รองรับการกำหนดค่าวัตถุที่มีชนิดเป็น struct หรือ union)
  • ไม่มีการเก็บข้อมูลขยะโดยอัตโนมัติ
  • ไม่มีข้อกำหนดเพื่อการตรวจสอบขอบเขตของแถวลำดับ
  • ไม่มีการดำเนินการสำหรับแถวลำดับทั้งชุดในระดับตัวภาษา
  • ไม่มีวากยสัมพันธ์สำหรับช่วงค่า (range) เช่น A..B ที่ใช้ในบางภาษา
  • ก่อนถึงภาษาซี99 ไม่มีการแบ่งแยกชนิดข้อมูลแบบบูล (ค่าศูนย์หรือไม่ศูนย์ถูกนำมาใช้แทน) 
  • ไม่มีส่วนปิดคลุมแบบรูปนัย (closure) หรือฟังก์ชันในรูปแบบพารามิเตอร์ (มีเพียงตัวชี้ของฟังก์ชันและตัวแปร)
  • ไม่มีตัวสร้างและโครูทีน การควบคุมกระแสการทำงานภายในเทร็ดมีเพียงการเรียกใช้ฟังก์ชันซ้อนลงไป เว้นแต่การใช้ฟังก์ชัน longjmp หรือ setcontext จากไลบรารี
  • ไม่มีการจัดกระทำสิ่งผิดปรกติ (exception handling) ฟังก์ชันไลบรารีมาตรฐานจะแสดงเงื่อนไขข้อผิดพลาดด้วยตัวแปรส่วนกลาง errno และ/หรือค่ากลับคืนพิเศษ และฟังก์ชันไลบรารีได้เตรียม goto แบบไม่ใช่เฉพาะที่ไว้ด้วย
  • การเขียนโปรแกรมเชิงมอดูลรองรับแค่ระดับพื้นฐานเท่านั้น
  • การโอเวอร์โหลดฟังก์ชันหรือตัวดำเนินการไม่รองรับภาวะหลายรูปแบบขณะแปลโปรแกรม
  • การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุรองรับในระดับที่จำกัดมาก โดยพิจารณาจากภาวะหลายรูปแบบกับการรับทอด (inheritance)
  • การซ่อนสารสนเทศ (encapsulation) รองรับในระดับที่จำกัด
  • ไม่รองรับโดยพื้นฐานกับการทำงานแบบมัลติเทร็ดและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
  • ไม่มีไลบรารีมาตรฐานสำหรับคอมพิวเตอร์กราฟิกส์และความจำเป็นหลายอย่างในการเขียนโปรแกรมประยุกต์
คุณลักษณะเหล่านี้จำนวนหนึ่งมีให้ใช้ได้จากส่วนขยายในตัวแปลโปรแกรมบางตัว หรือจัดสรรไว้แล้วในสภาพแวดล้อมของระบบปฏิบัติการ (เช่นโพสซิกซ์) หรือจัดเตรียมโดยไลบรารีภายนอก หรือสามารถจำลองโดยดัดแปลงแก้ไขรหัสที่มีอยู่ หรือบางครั้งก็ถูกพิจารณาว่าไม่ใช่รูปแบบการเขียนโปรแกรมที่เหมาะสม