วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 5 : Power Bank

ในปัจจุบันนี้พาวเวอร์แบงค์เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตเพราะคนเรามีการติดต่อสื่อสารด้วยโทรศัพท์มากขึ้นเดี๊ยนจึงเอาวิธีการเลือกซื้อ Power Bank มาฝากกันค่ะ ขอให้ทุกคนรับชมอย่างมีความสุขน่ะคะ

วิธีการเลือกซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) จากประสบการณ์จริง พร้อมวิธีการดูแลให้ใช้งานได้นาน ๆ


=================================
ปัจจัยที่ทำให้แบตเตอร์รี่หมดเร็ว
=================================

อุปกรณ์สมาร์ทโฟนปัจจุบันมีความสามารถเยอะก็จริง แต่ใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากด้วย ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอร์รี่มากน้อยของการใช้งานแต่ละคน มีดังนี้ครับ

- ขนาดหน้าจอและความละเอียด เป็นส่วนของอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากที่สุดเลย
- ความสว่างของหน้าจอ ยิ่งสว่างมากใช้พลังงานมาก
- รับสัญญาณ 3G หรือ WiFi ถ้ากำลังรับสัญญาณ 3G จะใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากกว่าใช้ WiFi

- ระยะเวลาการใช้โทรเข้า/ออก
- ระยะเวลาการใช้แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เช่น เปิดซิงค์อีเมล์ทุก 5 นาที จะใช้พลังงานมาก
- ประเภทของแอพ เช่น แอพเกมส์จะใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากกว่าแอพอีเมล์/เฟสบุ๊ค

ดังนั้น ตอนเลือกซื้อมือถือ / แทบเลต "ห้ามพิจารณา" เฉพาะสเปคเครื่องเท่านั้น แต่ให้ดู "ความจุของแบตเตอร์รี่" ด้วยครับ ซึ่งในท้องตลาด ณ ตอนนี้ สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ขนาด 4.3 นิ้วขึ้นไป ควรมีแบตเตอร์รี่ความจุอย่างน้อย 2,000 mA และ แทบเล็ตควรมีความจุของแบตเตอร์รี่อย่างน้อย 6,000 mA ถ้าความจุแบตเตอร์รี่น้อยกว่านี้ .. อาจใช้งานได้แค่ 4-6 ชั่วโมงก็แบตเตอร์รี่หมดแล้ว


=================================
แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) จำเป็นไหม ?
=================================

จำเป็นหรือไม่ ? คุณตอบเองได้ครับว่า หงุดหงิดเพราะแบตเตอร์รี่หมดก่อนจะหาปลั๊กไฟชาร์ตมากขนาดไหน ? อาการหงุดหงิดไม่ว่าจะมีเหตุผลจำเป็น เช่น กำลังทำงานส่งอีเมล์ / ติดต่อลูกค้า ฯลฯ หรือ เหตุผลรอง เช่น ฟังเพลงระหว่างเดินทาง / แชทกับเพื่อน ฯลฯ

ถ้าหงุดหงิดมาก ใจสั่น กระวนกระวาย .. จงซื้อแบตเตอร์รี่สำรองมาใช้โดยพลันครับ


=================================
แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) คือ อะไร ?
=================================
แบตเตอร์รี่สำรอง คือ แบตเตอร์รี่ที่มีการออกแบบความจุมากหลาย ๆ เท่า ห่อหุ้มด้วยวัสดุกันระเบิดอย่างแน่นหนาเพื่อให้สะดวกพกพาเดินทาง พร้อมมีช่องจ่ายกระแสไฟฟ้าบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่ และ มีช่องจ่ายพลังงานจากแบตเตอร์รี่เข้าสู่สมาร์ทโฟน/แทบเล็ต

ในท้องตลาดมีหลายแบรนด์มาก ๆ ส่วนใหญ่ผลิตที่ประเทศจีนครับ แม้แต่แบรนด์ดัง ๆ เช่น Enerigizer / Sanyo ฯลฯ เพียงแต่ต่างกันที่กระบวนการควบคุมคุณภาพ และวัสดุที่นำมาผลิต ดังนั้น อย่าได้พูดว่าของจีนแดงไม่ดีครับ เพราะอุปกรณ์อิเล็คทริคส์ชั้นนำของโลกกว่า 50% ผลิตโดย "ประเทศจีน" ครับ :)


=================================
เลือกซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ต้องดูอะไรบ้าง ?
=================================

(1) ความจุของแบตเตอร์รี่มือถือ/แทบเลตของคุณ x 2.5 เป็นอย่างน้อย – 30% ของความจุแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)
ผมขอยกตัวอย่าง Samsung Galaxy Note 2 นะครับ

1.1 ความจุของแบตเตอร์รี่ คือ 3,100 มิลลิแอมป์ ให้เอา x2.5 เข้าไป ได้ค่าเท่ากับ 7,750 มิลลิแอมป์
1.2 ความจุเป้าหมายของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ของผม คือ 7,750 x30% ได้ค่าเท่ากับ 2,325 มิลลิแอมป์
1.3 ความจุที่ผมจะได้จริงเพื่อเอาไปใช้งานของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) คือ 7,750 – 2,325 ได้เท่ากับ 5,425 มิลลิแอมป์


ดังนั้น ผมก็จะมองหาความจุของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ที่จุได้อย่างน้อย 7,750 มิลลิแอมป์ชึ้นไปเท่านั้นครับ เพื่อจะชาร์ต Note 2 ได้อย่างน้อย 2 รอบ (รอบละ 50%)

 


(2) อัตราการคายประจุของตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)

อันนี้สำคัญมากครับ เพราะแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เมื่อได้รับการชาร์ตไฟบ้านเข้าจนเต็มตัวมันเองแล้ว เราก็จะถอดปลั๊ก แล้วก็พกมันเพื่อเดินทางไปกับเราระหว่างวัน ทันทีทีหยุดชาร์ตไฟ ตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) มันจะเริ่มคายพลังงานประจุไฟฟ้าที่มันเก็บไว้ ทิ้งออกไปเรื่อย ๆ (สลายตัวมันเอง) ซึ่งเป็นลักษณะของมันอยู่แล้วครับ ถ้าเลือกแบรนด์ต่ำ ๆ คุณภาพไม่ดีอัตราการคายประจุจะเร็วมากกกก มากจนมันคายหมดไปเลยครับ

ยกตัวอย่างประสบการณ์เลวร้ายของผมครับ
08.00 น.  
ผมชาร์ต Note 2 และ แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เต็ม 100%

13.00 น.
Note 2 ผมแบตเตอร์รี่อ่อนเหลือ 30% ผมก็จะหยิบแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ออกมาเพื่อชาร์ตไฟเข้าให้กับมือถือ แป๊กครับ ไม่มีกระแสไฟฟ้าเหลือในแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ของผมเลย เพราะมันคายประจุหมด

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แบรนด์ล่าง ๆ ราคา 990 บาทที่มีขายกันเกร่อครับ ซึ่งเหตุการณ์ “คายประจุจนหมด” นี้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณหากคุณซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แบรนด์ดัง ๆ เช่น Sanyo / Power Rocks /  Yooboa




(3) อัตราการรับไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) และอัตราการจ่ายไฟออกจากแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ให้กับมือถือ / แทบเล็ต

อันนี้สำคัญมาก เพราะระยะเวลาการชาร์ตหากชาร์ตนานก็ทำให้เราหงุดหงิดมิใช่น้อยครับ  ให้พิจารณาที่ฉลากข้างกล่องได้เลยครับตรงที่พิมพ์แบบนี้

Input : DC 5V – 2.1 A (max)
หมายความว่า ตอนชาร์ตไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าไปเก็บสูงสุดต่อหน่วยเวลา คือ 2.1 แอมป์ (ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เร็วมากและปลอดภัยสำหรับแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แล้วหละครับ) ดังนั้น ถ้าพิมพ์ว่า 1.0 A (max) ก็แสดงว่า ชาร์ตไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) นานมากครับ ยิ่งความจุ 10,000 มิลลิแอมป์ อาจนานถึง 15 ชั่วโมงเลยทีเดียว

Output : DC 5V – 2.1 A
หมายความว่า ตอนชาร์ตมือถือ / แทบเล็ตเข้ากับตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แล้ว กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าสูงสุดต่อหน่วยเวลา คือ 2.1 แอมป์ (ยิ่งมาก ยิ่งดี  2.1 A ถือว่าเร็วมาก ๆ ซึ่งปกติในท้องตลาดจะมี 1.0 A กับ 2.1 A ครับ)




(4) ราคา
แบรนด์ที่มีชื่อเสียงจะมีราคาสูง คือ 2,000 บาทขึ้น เพราะคุณจะได้รับการรับประกัน 6 เดือน ถึง 1 ปี และคุณภาพเรื่องการคายประจุที่ต่ำ (ทำให้เก็บไฟในตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ได้นานขึ้น)

อีกปัจจัยที่ทำให้ราคาสูงขึ้น คือ ปริมาณการปล่อยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เข้าอุปกรณ์มือถือ  / แทบเลต ซึ่งราคา 2,000 – 2,500 บาท จะปล่อยเข้าที่ 1.0 แอมป์  แต่ถ้าราคา 3,000 บาทขึ้นจะอยู่ที่ 2.1 แอมป์ (สูงสุดสำหรับอุปกรณ์มือถือ / แทบเลตครับ)




(5) อุปกรณ์เสริม
ปกติแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ที่มีขายจะไม่มี “หัวปลั๊กไฟ” ที่ใช้ต่อไฟบ้านเพื่อชาร์ตไฟเข้าแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) มาพร้อมในกล่องด้วยนะครับ เพราะ “หัวปล๊กไฟ” นี้สามารถใช้ร่วมกับของมือถือ / แทบเล็ตในยุคปัจจุบันที่มีพอร์ต USB ที่ “หัวปลั๊กไฟ” อยู่แล้ว (หัวปลั๊กไฟจะแปลงกระแสไฟบ้าน 220 โวลต์ เป็นกี่แอมป์ให้ดูที่หัวปลั๊กไฟได้เลยครับ ตรงบรรทัดที่เขียนว่า Output ) ดังนั้น ให้ดูว่ามีหัวปลั๊กแปลงที่เข้ากับอุปกรณ์ของเราครบถ้วนหรือไม่ครับ

=================================
แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ยี่ห้อไหนดีหละ ?
=================================

ผมขอระบุตาม “ประสบการณ์จริง” ของผม ดังนี้ครับ

Power Rocks
ผมใช้ตัวนี้ครับ (ราคา 3,890 บาท ความจุ 7,800 มิลลิแอมป์) อัตราคายประจุต่ำ ชาร์ตไฟเข้า Note 2 ได้ 38% ต่อ 1 ชั่วโมง ในสถานการณ์จริงแบตเตอร์รี่ Note 2 ต่ำเหลือ 50% ผมก็ใช้ Power Rocks มาต่อกับ Note 2 แล้วหละครับ แป๊ปเดียวเต็มครับ ชาร์ตเสร็จแล้วตัว Power Rocks ยังเหลือกระแสไฟอีก 70% ให้ใช้ต่อได้ครับ รับประกันตลอดอายุการใช้งานอีกด้วยครับ


Yoobao
ความจุเยอะ ราคาถูก อัตราการคายประจุต่ำ แต่อัตราตอนชาร์ตไฟจาก Yoobao เข้ามือถือ / แทบเล็ตช้ามากครับ ประมาณ 8% ต่อ 1 ชั่วโมง  แต่ก็ขึ้นกับความจุของแบตเตอร์รี่มือถือด้วยนะครับ ถ้าความจุน้อยเช่น 1,500 มิลลิแอมป์ ก็จะได้ประมาณ 16% ต่อ 1 ชั่วโมง (เพราะ 8% ผมเทียบจาก Note 2 ครับ)

แต่เดี๋ยวก่อนครับ Yoobao แปลกอย่าง คือ ถ้าใช้หัวแปลงของ iPad 2 / iPhone 5 แล้วขาร์ตเข้ากับอุปกรณ์ของ Apple ปรากฏว่า ชาร์ตได้เร็วมากครับ ประมาณ 30% ต่อชั่วโมงทีเดียว
ผมเลยสรุปเอาเองว่า Yoobao ไม่เหมาะกับอุปกรณ์มือถือ / แทบเล็ตที่มีใช้พอร์ตชาร์ตแบบ Samsung ครับ แต่เหมาะกับคนใช้อุปกรณ์ของ Apple ครับ

Power Max
คายประจุเร็วและราคาสูง




=================================
รักษาแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ยังไงให้ทนทาน ?
=================================

ตอนซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ครั้งแรกให้ชาร์ตด้วยอัตราไฟเข้าต่ำ (ถ้าทำได้) คือ ไม่ใช้ไฟบ้านวิ่งเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) โดยตรงครับ แต่ให้ใช้ไฟจากคอมพิวเตอร์ / Notebook เป็นแหล่งจ่ายไฟเข้าแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แทนก่อน


ถ้าใช้แหล่งไฟจากไฟบ้าน ควรชาร์ตครั้งแรก 12 ชั่วโมงต่อความจุของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) 10,000 มิลลิแอมป์ครับ

ถ้าใช้แหล่งไฟจากคอมพิวเตอร์ / Notebook ควรชาร์ตครั้งแรก 24 ชั่วโมงต่อความจุของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) 10,000 มิลลิแอมป์ครับ

เหตุผลที่ครั้งแรกให้ชาร์ตด้วยอัตราไฟเข้าต่ำ เพราะต้องการกระตุ้นเซลล์เก็บประจุ ประเภท Li-On ของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เองให้ครบทุกเซลล์ครับ
หลังจากครั้งแรกแล้ว ถ้าสามารถชาร์ตแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)  ด้วยไฟต่ำได้เสมอจะรักษาให้แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) มีอายุการใช้งานนานขึ้นครับ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ขาร์จไฟบ้านตามปกติได้ แต่อายุการใช้งานก็จะเป็นไปตามจริงของมันครับ (อายุการใช้งาน 1-2 ปี แล้วแต่การใช้งานครับ)

แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เกลียดความร้อนครับ ยิ่งใกล้ความร้อนตัวเซลล์ในแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เองจะเสื่อมไว ดังนั้นงดวางไว้ในรถที่ตากแดด / หลังอุปกรณ์คอมพ์ที่ร้อน

แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) จะเสื่อมเร็วถ้าเราต่อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)เข้ากับมือถือ / แทบเล็ต แล้วใช้อุปกรณ์เข้าเน็ต  / เล่นเกมส์ไปด้วยครับ ดังนั้น ควรปล่อยให้แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)จ่ายไฟเข้าอุปกรณ์มือถือ / แทบเล็ตจนเต็ม แล้วถอดปลั๊กออก  จึงค่อยใช้งานอุปกรณ์ครับ

แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) จะเสื่อมเร็วมากขึ้น ถ้าเราไม่ชาร์จไฟให้ตัวเขาเต็มอยู่เสมอ หากเห็นว่าสถานะไฟบนตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เหลือต่ำกว่า 30% แล้ว “ควรหยุดใช้งาน” ครับ เพราะถ้าขืนคุณหยิบแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)ไปจ่ายไฟเข้ามือถือ / แทบเล็ต จนไฟในตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)หมดเกลี้ยง คุณจะเห็นอาการ “ตายสนิท” ของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เร็วมากขึ้นครับ

=================================
เพิ่มเติม ข้อมูลเชิงตัวเลขของแบตเตอร์รี่สำรอง แบรนด์ Power Rocks
=================================
ถาม : อัตราการชาร์ตไฟบ้านเข้าตัว Power Rocks จนเต็มเท่าไหร่ ?
ตอบ : ใช้เวลา 12 ชั่วโมงในการชาร์จจนเต็ม (หากใช้จน Power Rocks เหลือ 20%) หมายความว่า ใช้เวลาชาร์จอีก 80% ประมาณ 12 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้จนหมดเกลี้ยง (ผมยังไม่เคย) ค่าดว่าจะใช้เวลา 16 ชั่วโมงในการชาร์จจนเต็มครับ

ถาม : อัตราการจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัว Power Rocks เข้าสู่ Samsung Galaxy Note 2  เท่าไหร่ ?
ตอบ : คือ 2.1 แอมป์ครับ แต่ก็ขึ้นกับการรับกระแสไฟของอุปกรณ์ของคุณ

ถาม : ระยะเวลาการจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัว Power Rocks เข้าสู่ Samsung Galaxy Note 2  เท่าไหร่ ?
ตอบ : ระยะเวลาการจ่าย คือ 0.63% ต่อนาที ดังนั้น 1 ชั่วโมงชาร์ตไฟเข้า Note 2 ได้ถึง 38% ครับ

=================================
บทความนี้มีลิขสิทธิ์ โดย นายแทมดอทคอม (Naitam.com) ผมไม่อนุญาตให้คัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใด หรือ ทั้งหมด เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ยกเว้นใช้อ้างอิงเพื่อความรู้
=================================



ขอขอบคุณที่ติดตามชมนะคะ ถ้าจะเลือกซื้อพาวเวอร์แบงค์ก็ระมัดระวังหน่อยนะคะ ♥

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 4 : โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (C)

สำหรับวันนี้จะมีพูดถึงภาษาซี ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมสำหรับคอมพิวเตอรืซึ่งมันยากมาก ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่เองเหมือนกัน  แต่ก็จะพยายามอธิบาย พยายามศึกษาค่ะ ขอบคุณค่ะ ♥

ภาษาซี (C) เป็นภาษาโปรแกรมสำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไป เริ่มพัฒนาขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2512-2516 (ค.ศ. 1969-1973) โดยเดนนิส ริชชี่ (Denis Retchie) ที่เอทีแอนด์ทีเบลล์แล็บส์ (AT&T Bell Labs) ภาษาซีมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกสำหรับการเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้างและอนุญาตให้มีขอบข่ายตัวแปร (scope) และการเรียกซ้ำ (recursion) ในขณะที่ระบบชนิดตัวแปรอพลวัตก็ช่วยป้องกันการดำเนินการที่ไม่ตั้งใจหลายอย่าง เหมือนกับภาษาโปรแกรมเชิงคำสั่งส่วนใหญ่ในแบบแผนของภาษาอัลกอล การออกแบบของภาษาซีมีคอนสตรักต์ (construct) ที่โยงกับชุดคำสั่งเครื่องทั่วไปได้อย่างพอเพียง จึงทำให้ยังมีการใช้ในโปรแกรมประยุกต์ซึ่งแต่ก่อนลงรหัสเป็นภาษาแอสเซมบลี คือซอฟต์แวร์ระบบอันโดดเด่นอย่างระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ยูนิกซ์ 
ภาษาซีเป็นภาษาโปรแกรมหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดตลอดกาล  และตัวแปลโปรแกรมของภาษาซีมีให้ใช้งานได้สำหรับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการต่าง ๆ เป็นส่วนมาก
ภาษาหลายภาษาในยุคหลังได้หยิบยืมภาษาซีไปใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตัวอย่างเช่น ภาษาดี ภาษาโก ภาษารัสต์ ภาษาจาวา จาวาสคริปต์ ภาษาลิมโบ ภาษาแอลพีซี ภาษาซีชาร์ป ภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซี ภาษาเพิร์ล ภาษาพีเอชพี ภาษาไพทอนภาษาเวอริล็อก (ภาษาพรรณนาฮาร์ดแวร์)  และซีเชลล์ของยูนิกซ์ ภาษาเหล่านี้ได้ดึงโครงสร้างการควบคุมและคุณลักษณะพื้นฐานอื่น ๆ มาจากภาษาซี ส่วนใหญ่มีวากยสัมพันธ์คล้ายคลึงกับภาษาซีเป็นอย่างมากโดยรวม (ยกเว้นภาษาไพทอนที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง) และตั้งใจที่จะผสานนิพจน์และข้อความสั่งที่จำแนกได้ของวากยสัมพันธ์ของภาษาซี ด้วยระบบชนิดตัวแปร ตัวแบบข้อมูล และอรรถศาสตร์ที่อาจแตกต่างกันโดยมูลฐาน ภาษาซีพลัสพลัสและภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซีเดิมเกิดขึ้นในฐานะตัวแปลโปรแกรมที่สร้างรหัสภาษาซี ปัจจุบันภาษาซีพลัสพลัสแทบจะเป็นเซตใหญ่ของภาษาซี  ในขณะที่ภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซีก็เป็นเซตใหญ่อันเคร่งครัดของภาษาซี [10]
ก่อนที่จะมีมาตรฐานภาษาซีอย่างเป็นทางการ ผู้ใช้และผู้พัฒนาต่างก็เชื่อถือในข้อกำหนดอย่างไม่เป็นทางการในหนังสือที่เขียนโดยเดนนิส ริตชี และไบรอัน เคอร์นิกัน (Brian Kernighan) ภาษาซีรุ่นนั้นจึงเรียกกันโดยทั่วไปว่า ภาษาเคแอนด์อาร์ซี(K&R C) ต่อมา พ.ศ. 2532 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (ANSI) ได้ตีพิมพ์มาตรฐานสำหรับภาษาซีขึ้นมา เรียกกันว่า ภาษาแอนซีซี (ANSI C) หรือ ภาษาซี89 (C89) ในปีถัดมา องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) ได้อนุมัติให้ข้อกำหนดเดียวกันนี้เป็นมาตรฐานสากล เรียกกันว่า ภาษาซี90 (C90) ในเวลาต่อมาอีก องค์การฯ ก็ได้เผยแพร่ส่วนขยายมาตรฐานเพื่อรองรับสากลวิวัตน์ (internationalization) เมื่อ พ.ศ. 2538 และมาตรฐานที่ตรวจชำระใหม่เมื่อ พ.ศ. 2542 เรียกกันว่า ภาษาซี99 (C99) มาตรฐานรุ่นปัจจุบันก็ได้รับอนุมัติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 เรียกกันว่า ภาษาซี11 (C11) 

ลักษณะเฉพาะ

ภาษาซีมีสิ่งอำนวยสำหรับการเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้าง และสามารถกำหนดขอบข่ายตัวแปรและเรียกซ้ำ เช่นเดียวกับภาษาโปรแกรมเชิงคำสั่งส่วนใหญ่ในสายตระกูลภาษาอัลกอล ในขณะที่ระบบชนิดตัวแปรแบบอพลวัตช่วยป้องกันการดำเนินการที่ไม่ได้ตั้งใจ รหัสที่ทำงานได้ทั้งหมดในภาษาซีถูกบรรจุอยู่ในฟังก์ชัน พารามิเตอร์ของฟังก์ชันส่งผ่านด้วยค่าของตัวแปรเสมอ ส่วนการส่งผ่านด้วยการอ้างอิงจะถูกจำลองขึ้นโดยการส่งผ่านค่าตัวชี้ ชนิดข้อมูลรวมแบบแตกต่าง (struct) ช่วยให้สมาชิกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันสามารถรวมกันและจัดการได้ในหน่วยเดียว รหัสต้นฉบับของภาษาซีเป็นรูปแบบอิสระ ซึ่งใช้อัฒภาค (;) เป็นตัวจบคำสั่ง (มิใช่ตัวแบ่ง)
ภาษาซียังมีลักษณะเฉพาะต่อไปนี้เพิ่มเติม
  • ตัวแปรอาจถูกซ่อนในบล็อกซ้อนใน
  • ชนิดตัวแปรไม่เคร่งครัด เช่นข้อมูลตัวอักษรสามารถใช้เป็นจำนวนเต็ม
  • เข้าถึงหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ในระดับต่ำโดยแปลงที่อยู่ในเครื่องด้วยชนิดตัวแปรตัวชี้ (pointer)
  • ฟังก์ชันและตัวชี้ข้อมูลรองรับการทำงานในภาวะหลายรูปแบบ (polymorphism)
  • การกำหนดดัชนีแถวลำดับสามารถทำได้ด้วยวิธีรอง คือนิยามในพจน์ของเลขคณิตของตัวชี้
  • ตัวประมวลผลก่อนสำหรับการนิยามแมโคร การรวมไฟล์รหัสต้นฉบับ และการแปลโปรแกรมแบบมีเงื่อนไข
  • ความสามารถที่ซับซ้อนเช่น ไอ/โอ การจัดการสายอักขระ และฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ รวมอยู่ในไลบรารี
  • คำหลักที่สงวนไว้มีจำนวนค่อนข้างน้อย
  • ตัวดำเนินการแบบประสมจำนวนมาก อาทิ +=-=*=++ ฯลฯ
โครงสร้างการเขียน คล้ายภาษาบีมากกว่าภาษาอัลกอล ตัวอย่างเช่น
  • ใช้วงเล็บปีกกา { ... } แทนที่จะเป็น begin ... end ในภาษาอัลกอล 60 หรือวงเล็บโค้ง ( ... ) ในภาษาอัลกอล 68
  • เท่ากับ = ใช้สำหรับกำหนดค่า (คัดลอกข้อมูล) เหมือนภาษาฟอร์แทรน แทนที่จะเป็น := ในภาษาอัลกอล
  • เท่ากับสองตัว == ใช้สำหรับเปรียบเทียบความเท่ากัน แทนที่จะเป็น .EQ. ในภาษาฟอร์แทรนหรือ = ในภาษาเบสิกและภาษาอัลกอล
  • ตรรกะ "และ" กับ "หรือ" แทนด้วย && กับ || ตามลำดับ แทนที่จะเป็นตัวดำเนินการ ∧ กับ ∨ ในภาษาอัลกอล แต่ตัวดำเนินการดังกล่าวจะไม่ประเมินค่าตัวถูกดำเนินการทางขวา ถ้าหากผลลัพธ์จากทางซ้ายสามารถพิจารณาได้แล้ว เหตุการณ์เช่นนี้เรียกว่าการประเมินค่าแบบลัดวงจร (short-circuit evaluation) และตัวดำเนินการดังกล่าวก็มีความหมายต่างจากตัวดำเนินการระดับบิต & กับ |

คุณลักษณะที่ขาดไป

ธรรมชาติของภาษาในระดับต่ำช่วยให้โปรแกรมเมอร์ควบคุมสิ่งที่คอมพิวเตอร์กระทำได้อย่างใกล้ชิด ในขณะที่อนุญาตให้มีการปรับแต่งพิเศษและการทำให้เหมาะที่สุดสำหรับแพลตฟอร์มหนึ่งใดโดยเฉพาะ สิ่งนี้ทำให้รหัสสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบนฮาร์ดแวร์ที่มีทรัพยากรจำกัดมาก ๆ ได้เช่นระบบฝังตัว
ภาษาซีไม่มีคุณลักษณะบางอย่างที่มีในภาษาอื่นอาทิ
  • ไม่มีการนิยามฟังก์ชันซ้อนใน
  • ไม่มีการกำหนดค่าแถวลำดับหรือสายอักขระโดยตรง (การคัดลอกข้อมูลจะกระทำผ่านฟังก์ชันมาตรฐาน แต่ก็รองรับการกำหนดค่าวัตถุที่มีชนิดเป็น struct หรือ union)
  • ไม่มีการเก็บข้อมูลขยะโดยอัตโนมัติ
  • ไม่มีข้อกำหนดเพื่อการตรวจสอบขอบเขตของแถวลำดับ
  • ไม่มีการดำเนินการสำหรับแถวลำดับทั้งชุดในระดับตัวภาษา
  • ไม่มีวากยสัมพันธ์สำหรับช่วงค่า (range) เช่น A..B ที่ใช้ในบางภาษา
  • ก่อนถึงภาษาซี99 ไม่มีการแบ่งแยกชนิดข้อมูลแบบบูล (ค่าศูนย์หรือไม่ศูนย์ถูกนำมาใช้แทน) 
  • ไม่มีส่วนปิดคลุมแบบรูปนัย (closure) หรือฟังก์ชันในรูปแบบพารามิเตอร์ (มีเพียงตัวชี้ของฟังก์ชันและตัวแปร)
  • ไม่มีตัวสร้างและโครูทีน การควบคุมกระแสการทำงานภายในเทร็ดมีเพียงการเรียกใช้ฟังก์ชันซ้อนลงไป เว้นแต่การใช้ฟังก์ชัน longjmp หรือ setcontext จากไลบรารี
  • ไม่มีการจัดกระทำสิ่งผิดปรกติ (exception handling) ฟังก์ชันไลบรารีมาตรฐานจะแสดงเงื่อนไขข้อผิดพลาดด้วยตัวแปรส่วนกลาง errno และ/หรือค่ากลับคืนพิเศษ และฟังก์ชันไลบรารีได้เตรียม goto แบบไม่ใช่เฉพาะที่ไว้ด้วย
  • การเขียนโปรแกรมเชิงมอดูลรองรับแค่ระดับพื้นฐานเท่านั้น
  • การโอเวอร์โหลดฟังก์ชันหรือตัวดำเนินการไม่รองรับภาวะหลายรูปแบบขณะแปลโปรแกรม
  • การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุรองรับในระดับที่จำกัดมาก โดยพิจารณาจากภาวะหลายรูปแบบกับการรับทอด (inheritance)
  • การซ่อนสารสนเทศ (encapsulation) รองรับในระดับที่จำกัด
  • ไม่รองรับโดยพื้นฐานกับการทำงานแบบมัลติเทร็ดและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
  • ไม่มีไลบรารีมาตรฐานสำหรับคอมพิวเตอร์กราฟิกส์และความจำเป็นหลายอย่างในการเขียนโปรแกรมประยุกต์
คุณลักษณะเหล่านี้จำนวนหนึ่งมีให้ใช้ได้จากส่วนขยายในตัวแปลโปรแกรมบางตัว หรือจัดสรรไว้แล้วในสภาพแวดล้อมของระบบปฏิบัติการ (เช่นโพสซิกซ์) หรือจัดเตรียมโดยไลบรารีภายนอก หรือสามารถจำลองโดยดัดแปลงแก้ไขรหัสที่มีอยู่ หรือบางครั้งก็ถูกพิจารณาว่าไม่ใช่รูปแบบการเขียนโปรแกรมที่เหมาะสม


วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 3 : Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

Social Network คืออะไร บทเรียนขั้นพื้นฐาน สู่ความเข้าใจเรื่อง โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) เพื่อนำไปสู่การทำการตลาดบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network Marketing

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Social Network สำหรับนักการตลาดมือใหม่ ที่คิดจะใช้ช่องทางนี้ในการ Promote สินค้า และบริการ  microBrand ได้เรียบเรียงเนื้อหาสั้นๆ แต่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่คิดจะเริ่มต้น แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นยังไง

Social Network คืออะไร

โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์  หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย  ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว)  การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้  เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อย  ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา  สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย  และเมื่อเราแชร์ (Share) ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่าย  ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน  และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้  เช่น  แสดงความคิดเห็น (Comment)  กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ  ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ทำให้ธุรกิจ และนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการ

10 ผลเสียของการใช้ SOCIAL MEDIA ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เทคโนโลยีคือเครื่องมือที่มีสารพัดประโยชน์ แต่คนส่วนมากกลับใช้มันในทางที่ผิดๆ จนอาจทำให้เกิดผลกระทบในทางลบต่อตัวผู้ใช้เลยก็ว่าได้ ก่อนที่มันจะส่งผลร้ายแรงไปมากกว่านี้ วันนี้ฉัน  มี 10 ผลเสียที่เกิดจากการที่เราเล่นหรือใช้ Social Media มากเกินไปมาให้ได้รู้กัน

1. ลดปฏิสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างคนรอบข้าง

01
นอกจากคุณจะใช้เวลาให้เปล่าประโยชน์แล้ว การเล่นและให้ความสัมคำกับ Social Media ขณะอยู่กับคนอื่นหรือในการประชุมมากเกินไปก็อาจจะทำให้คนอื่นรำคาญเราได้ และนั่นก็อาจจะทำให้เพื่อนฝูงเลิกชวนคุณไปไหนมาไหนได้เลย

2. กลายเป็นคนชอบเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นมากขึ้น

02
การโพสสเตตัสหรือรูปภาพเพื่อให้คนสนใจหรือมากดไลค์อยู่เป็นประจำ อาจทำให้คุณกลายเป็นคนชอบเรียกร้องความสนใจมากเกินไปแล้วก็ได้

3. ทำให้คุณไขว้เขวจากสิ่งที่ตั้งใจจะทำ

03
Social Media นั้นมักจะทำให้คุณไขว้เขวจากสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ จนทำให้เป้าหมายในชีวิตของคุณไม่สำเร็จซักที เลิกเถอะค่ะเอาเวลาที่เราสนใจชีวิตคนอื่นใน Facebook มาสนใจชีวิตของเราจะดีกว่า

4. เป็นบ่อเกิดโรคซึมเศร้าที่ร้ายแรง

Sad Teenage Girl
จากการศึกษาหลายๆชิ้นให้ข้อมูลว่าคนที่ยิ่งใช้ Social Media มากเท่าไหร่ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกทางลบมากเท่านั้น ซึ่งรวมถึงโรคซึมเศร้าด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลัง เศร้าหรือรู้สึกไม่ดี ให้หยุดเล่น Social Media ซะก่อนเถอะค่ะแล้วไปหาอะไรทำที่มันผ่อนคลายจะดีกว่า

5. ทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมถอย

05
Social Media นั้นมีแต่จะทำให้เราได้รู้สึกอิจฉาและอยากสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน มันดูเหมือนจะทำให้รู้เรื่องคนนู้นคนนี้ดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เลยซักนิด มีข้อมูลจากการศึกษาหลายชิ้นพบว่า ยิ่งคุณเล่น Facebook มากเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ของคุณกับคนที่คุณคอยติดตามตลอดก็มีโอกาสที่จะพังทลายมากเท่านั้น

6. หยุดยั้งความคิดสร้างสรรค์

06
การเล่น Social Media มากเกินไปคือหนึ่งหนทางที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้กระบวนการคิดด้านความสร้าง สรรค์ของเราหยุดชะงักและถูกทำลายได้ ซึ่งมันก็คล้ายกับการที่เราดูอะไรไร้สาระในทีวีไปเรื่อยๆนั่นแหล่ะค่ะ ถ้าไม่อยากให้หัวของคุณมืดบอดคิดอะไรไม่ออกละก็ ปิดแอ๊ปเหล่านั้นซะ

7. หยาบคายและระรานคนอื่นได้ง่ายขึ้น

07
คุณลองสังเกตดูตัวเองสิคะ ว่าตั้งแต่ที่คุณเริ่มเล่น  Social Media คุณกลายเป็นคนที่หยาบคายและเริ่มพิมพ์อะไรที่ไม่กล้าพูดออกมาบ้างรึเปล่า เลิกเถอะค่ะ คุณไม่ได้เป็นบุคคลนิรนามอย่างที่คุณคิดหรอก

8. มีแต่เศร้ากับเศร้าเพราะมัวแต่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในโลกออนไลน์

08
เชื่อมั้ยว่าหลายๆคนใน Facebook กับชีวิตจริงนั้นทำตัวต่างกันสิ้นเชิง หยุดสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ไปมากกว่านี้เถอะค่ะ หันมาทำความรู้จักกับเพื่อนและคนใกล้ตัวจากตัวจริงของเขาดีกว่า

9. นอนไม่เพียงพอ

09
แสงจากหน้าจอสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์ของคุณมันกำลังไปบอกให้สมองคุณ รู้ว่า นี่ไม่ใช่เวลานอน หยุดทำเถอะค่ะ แค่ธรรมดาเราจะพักผ่อนให้เพียงพอก็ยากพอแล้ว วางมือถือไว้ไกลๆเตียงแล้วไปนอนซะ

10.ไม่มีความเป็นส่วนตัวอีกต่อไป

10
ลองคิดดูว่าเราได้ให้ข้อมูลและโพสอะไรลงไปใน Facebook บ้างในแต่ละวัน ทั้งความคิดหรือสิ่งที่คุณเคยทำอาจกำลังโดนใครกำลังสอดแนมอยู่ก็ได้ ระวังว่าในอนาคตข้อมูลพวกนี้อาจจะเป็นอันตรายต่อคุณเอง

ข้อดีของ Social Media ก็มีมากมาย เพียงแต่ว่าใช้อย่างถูกวิธีและอย่าใช้เยอะจนเกินไป ความพอดีดีที่สุดเสมอนะคะ

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 2 : โมเมพาเพลิน

ในวันนี้นะคะ เราจะพูดถึง นภัสสร บูรณศิริ (โมเม) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม โมเมพาเพลิน เกิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เคยเป็นศิลปินสังกัด อาร์เอส โปรโมชั่น

ประวัติ
นภัสสร บูรณศิริ ชื่อเล่น โมเม หรือ โมเมพาเพลิน เกิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เป็นอดีตนักร้องชาวไทย สังกัด อาร์เอส โปรโมชั่น เธอเป็นบุตรสาวของ นายภัสดา บุรณศิริ และ นางสุดา ชื่นบาน และยังมีพี่สาวต่างบิดาซึ่งก็เป็นนักร้องเช่นกันคือ แหม่ม - พัชริดา วัฒนา เข้าสู่วงการตอนอายุ 16 ปี ด้วยการร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ "เจนนี่ กลางวันครับ กลางคืนค่ะ" ในปี 2539 เธอออกอัลบั้มในสังกัดอาร์เอสเมื่อปีพ.ศ. 2541 เธอเป็นที่รู้จักกันในเพลง กระดุ๊ก กระดิ๊ก หลังจากนั้นเธอก็มีผลงานอัลบั้มมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สตูลดิโออัลบั้ม, อัลบั้มพิเศษ, อัลบั้มรวมศิลปิน
ปัจจุบันเป็นพิธ๊กรรายการ โมเมพาเพลิน ทางช่อง spokedark.tv และทำงานเป็น freelance ให้กับนิตสาร l'official

ชีวิตส่วนตัว

ด้านชีวิตส่วนตัว โมเมเป็นดีเจที่ "อีซี่ เอฟ. เอ็ม. 105.5" และทำรายการ "โมเมพาเพลิน" สอนแต่งหน้าผ่านทางYoutubeและช่องจานดาวเทียม โมเมเคยคบหาดูใจกับจอห์น วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ มาเป็นเวลา 4 ปี สุดท้ายทั้งคู่จึงเลิกกันเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน ปัจจุบันกำลังคบหาดูใจอยู่กับคิว เตมี คุปต์ธนโรจน์ ดีเจแห่งคลื่นซี้ดเอฟเอ็ม ซึ่งอายุน้อยกว่าโมเม 6 ปี

การศึกษา

  • มัธยมโรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี)
  • ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

เรารู้จักเธอกันไปแล้วต่อมามาดูบทความที่

เกี่ยวข้องกับเธอกันเถอะ !!!


มเมมั่ว แต่งหน้าไม่เก่ง! แต่ “ดัง” สาวกความงาม “ตรึม” เธอมีวันนี้ได้อย่างไร?
 By Lady Manager
     
       เบื้องหน้าสวยหรูได้รับคำชื่นชมล้นหลาม แต่บางคนบางกระแสกลับสับบล็อกเกอร์ความงามคนดังโมเม ซะเละ!
     
       “อย่าโกรธนะ ถ้าเราจะบอกว่าโมเมยังแต่งหน้าไม่เป็นเลย คือ ไม่ได้รู้จริงๆ อย่างที่พยายามพรีเซนต์ตัวเองอ่ะ สิ่งที่โมเมพูด สามารถหาอ่านได้จากแม็กกาซีนหรือเวปทั่วๆ ไปไม่ได้เกิดจากประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญจริงๆ” ตัวอย่างความคิดเห็นวิจารณ์เธอเชิงลบ 
โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เก่ง! แต่ “ดัง” สาวกความงาม “ตรึม” เธอมีวันนี้ได้อย่างไร?
        โมเม-นภัสสรณ์ บูรณศิริ กูรูผู้ให้ความรู้ด้านการแต่งหน้าในรายการ “โมเมพาเพลิน” จนโด่งดังบนโลกโซเซียลเน็ตเวิร์ก นอกจากเธอจะได้รับการชื่นชม มีแฟนคลับมากมายติดตามเธอในทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊กมากมาย แต่บางเสียงกลับกระแนะกระแหนโขกสับเธอซะเละเทะ
     
       ด้วยความที่นางดูแรง กล้าพูด สอดแทรกภาษาอังกฤษตลอดเวลา แถมสำเนียงเป๊ะ! ทักษะการพูดเป็นเลิศสามารถพูดเจื้อยแจ้วคนเดียวได้อย่างสนุกสนาน
     
       “จริงๆ แล้ว เราทำงานพิธีกร งานดีเจ มาก่อนนานมาก ที่พูดได้เจื้อยแจ้วจ้อยๆ skill ของการเป็นดีเจและการทำพิธีกร เราอยู่กับรายการสดมา 8-9 ปี สดทุกวันมีปัญหาให้แก้ทุกวัน
     
       ภาษาที่เราพูดมันไม่ใช่ภาษาแบบประดิษฐ์ แอ๊บให้สวย ส่วนหนึ่งคนดูอาจจะดูเพราะสนุก ฟังแล้วเปิดทิ้งไว้ได้ อาจจะฟังเราเม้าท์ไปเรื่อยๆ เพราะเราแต่งไปเม้าท์ไป เดี่ยวนี้ผู้ชายเริ่มเข้าใจ อาจไม่ฟังเรื่องแต่งหน้า แต่ฟังเราเม้าท์ อีนี่ตลกดี” โมเมเผยสาเหตุที่นางพูดเก่ง แถมสนุก เข้าใจง่าย บวกไม่แอ๊บ
     
       ทว่านางรีวิวแต่งหน้าเยอะขนาดนี้ หาประเด็น ไอเดียมาจากไหนกันนะ และกับกระแสเม้าท์แรง โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เห็นจะเก่ง จากนี้ นางมีคำตอบ!
     
       ไอเดียตีบตัน หมดมุกแต่งหน้า!?
     
       “นอกจากจะคิดเองแล้วประเด็นแต่งหน้ามักจะถูก request ด้วย ผู้หญิงสาวไทยอยากได้การแต่งหน้าทุกสถานการณ์ บางครั้งเค้าจะคิดสถานการณ์มาให้-พี่คะ หนูอยากแต่งหน้าแบบนี้ เช่น แต่งหน้าออกเดท และเจอแฟนเก่า เพราะอาจจะมีทรัพย์สินต้องเคลียร์ แต่สภาพหน้าเราไม่ไหว โทรม ควรแต่งหน้ายังไง จริงๆ มาจากสถานการณ์รอบข้าง การสนทนากันกับเพื่อน เราดูเยอะ อ่านเยอะด้วย จึงมีไอเดียตลอด
     
       แต่บางทีไอเดียก็ตันนะ แต่งไปหมดแล้ว แต่บางทีก็ปิ๊งขึ้นมา บางอย่างทำไปแล้วแต่งไปแล้ว แต่พอมีผลิตภัณฑ์ใหม่นวัตกรรมดีขึ้น ก็ทำได้อีก สองปีผ่านไป อาจเจอวิธีที่ดีกว่าในการทำ ก็ทำอีก ผลิตภัณฑ์ความงามมีนวัตกรรมตลอดเวลา บางอันก็จริง บางอันก็ไม่จริง แต่งหน้าเหมือนไม่แต่งหน้า ผลิตภัณฑ์นี้แต่งแล้วเหมือนธรรมชาติมากขึ้น ก็ทำใหม่อัพเดทได้
โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เก่ง! แต่ “ดัง” สาวกความงาม “ตรึม” เธอมีวันนี้ได้อย่างไร?
        ลักษณะการทำงานในเรื่องของการรีวิวสินค้ามันเป็นที่รู้กันในวงการความงามว่า ถ้าโมเมใช้แล้วไม่ชอบจะขอไม่พูดถึงเลย คือ ไม่รับถือๆ แล้วรับตังค์
     
       ด้วยรายการมันไม่ใช่สคริปต์ เป็นรายการที่เรานึกอยากจะพูดอะไรก็พูด เพราะฉะนั้นพอมันไม่จริงปั้บ มันจะดูแล้วรู้ มันจะชัดมากเพราะคนดูพาเพลินจะรู้ว่า พอมาเป็นสคริปต์จ๋าๆ คนจะรู้สึกได้ทันทีว่ามันไม่จริง และเราอยากอยู่ยาวๆ มากกว่า เราไม่อยากรับตังค์และบอกว่าดี เราได้มาฟรี แต่เค้าเสียเงินไง
     
       skincare ส่วนใหญ่จะไม่พยายามรีวิว เพราะผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันค่อนข้างจะลำบากในการบอกนิดนึง ส่วนใหญ่ถ้าจะรีวิวสกินแคร์เรามักจะเป็น scientific facts ของสินค้าชิ้นนั้นมากกว่าจะใช้แล้วหน้าใส ต้องมีการทดลอง ครีมอุ้มน้ำได้ดีกว่า ทางสินค้าเค้าต้องก็ทดลองให้เราดู ถ้าเราเห็นว่า resource มันจริง แล้วเราใช้แล้วรู้สึกว่าโอเคนะ มันน่าสนับสนุนอยู่ เราก็ทำการทดลองนี้ให้คนที่บ้านดูเพื่อให้ตัดสินใจเอาเองว่ามันเหมาะกับสภาพผิวเราเองไหม
     
       แต่เมกอัพจะง่ายตรงที่ว่าผลิตภัณฑ์แต่งหน้า พอทาเป็นสีปั้บดีไม่ดีมันเห็นในกล้องว่าดีหรือไม่ เนื้อสีดีมั้ย คุณภาพโอเคหรือเปล่า ลักษณะ texture เป็นอย่างไร เพราะตอนนี้เราก็ HD กันแล้วเนอะ มันก็จะชัดมาก”
     
       บอกต่อสินค้าดี ขอข้ามของแย่ ไม่อยากมาเร็ว เคลมเร็ว
     
       “หากใช้ไปใช้มาถ้าเกิดอาการแพ้ เราก็จะบอกเลยว่าใช้แล้วแพ้ แต่ไม่เอ่ยสินค้า ใช้ก่อนคุยกันเองก่อน พอทดลองแล้วไม่ชอบนะ ตัวนี้ขออนุญาต ไม่พูด ไม่ถือ ไม่เชียร์ ไม่พูดถึง ข้ามไป
โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เก่ง! แต่ “ดัง” สาวกความงาม “ตรึม” เธอมีวันนี้ได้อย่างไร?
        เราก็ไม่อยากให้คนเชื่อไปซะหมดว่าชั้นบอกว่ามันแย่ก็คิดว่าแย่ ของบางอย่างบางยี่ห้อก็ดี มันไม่มีเครื่องสำอางยี่ห้อไหน หรือสกินแคร์ยี่ห้อไหนที่ดีไปเสียทุกอย่าง มันต้องมีของดี และของที่ไม่เวิร์กบ้าง บางอย่างเคลมซะเกินจริงมาก เหรอ! ทำได้เหรอ ใช้แล้วไม่เห็นผล เราก็จะคุยกันเองก่อน ถ้าเกิดชอบอย่างไร ชอบตรงไหน บางทีไม่ได้ชอบกันตรงกับสิ่งที่เค้าเคลมมาด้วย แต่ชอบที่เค้าสามารถทำอย่างอื่นได้ในมุมของเรา
     
       เราก็จะขอเลือกพูดในสิ่งที่เรารู้สึกกับ product นั้นจริงๆ สบายใจจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะมาเร็วไปเร็ว มาแว้บไปแว้บ คนก็จะเชื่อสักพักแล้วก็จะไม่เชื่อแล้ว เพราะว่าเอาไปใช้ตามแล้วไม่เห็นจะดีเลย แต่เรารวยนะ เรารับตังค์ แต่มันก็ทำให้อายุงานในการที่จะทำตรงนี้มันสั้นลงซึ่งเราไม่อยากให้เป็นอย่างนี้
     
       ไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนมาบังคับค่ะ ถ้ายุ่งมากๆ ก็บอกไม่ต้องยุ่งกัน คือ ไม่ชอบ ก็ไม่ใช้ จบ เจ้าของรายการเยอะ เพราะงั้นอย่ามาเยอะกว่า
     
       ส่วนผลิตภัณฑ์ราคาแพง-ถูกนั้น เราจะใช้ผสมกัน ถ้าบางอย่างเป็นของแพงที่มีตัวตายตัวแทนได้ เราจะบอกเลยว่าถ้าทำสิ่งนี้ไม่ได้ ไปทำสิ่งนั้น แต่ถ้าไหว อยากซื้อสิ่งนี้ก็ซื้อ กำลังทรัพย์แล้วแต่ บอกเสมอว่า ดูเอาเป็นแนวทาง มันมีสีในระดับที่คุณซื้อได้
     
       ไม่ใช่บอกว่า ‘แป้งตัวนี้สีนี้ไม่มีแล้ว หาซื้อที่ไหนไม่ได้แล้ว' ไม่เคยยัดเยียดให้ซื้อของ
     
       แต่ถามว่าทำไมคนซื้อตาม เพราะคนเห็นเราใช้แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเราที่ไปโดนใจเขา เขาก็จะซื้อตาม ซึ่งนั่นเป็นวิจารณญาณของเขาเองมากกว่า”
     
       อ่านเยอะ ข้อมูลทะลัก ทักษะเพียบ
     
       โมเมบอกเสมอว่า ความรู้ และทักษะการแต่งหน้านั้นมิได้ร่ำเรียนมา แต่เป็นเพราะ “อ่านเยอะ”
     
       “เราเก็บข้อมูลมาเรื่อยๆ ตั้งแต่นิตยสาร คอลัมน์ความงาม ตั้งแต่ยังไม่มีสื่ออินเตอร์เน็ตแพร่หลาย ก่อนหน้านี้เราก็อ่านมาตลอด สิ่งที่เรารู้หลายๆ อย่างไม่ได้เกิดจากการที่เราแค่เปิดผ่านแล้วดูรูป มันเกิดจากการอ่านและสะสมข้อมูล มันเหมือนการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ เราก็รู้ว่าอ๋อ โอเค ถ้าผิวเราเป็นลักษณะอย่างนี้ แปลว่า ชั้นเป็นคนผิวมันซินะ แล้วชั้นต้องใช้อะไร เพื่อทำอะไร
     
       เราก็ไม่ได้รู้มากถึงขั้น รู้ในเรื่องทั่วๆ ไปที่เราจะสามารถดูแลตัวเองได้ แล้วเราก็ลองผิดลองถูก เคยแต่งหน้าพลาดมาก่อน เคยแต่งหน้าแล้วเหมือนโดนต่อยมาก่อน หรือทำไงก็ไม่หายตาบวม มันก็เป็นการลองผิดลองถูก
     
       เรายอมรับเลยนะ ว่าเราไม่ค่อยมีโอกาสอ่านบล็อกที่เป็นภาษาไทยเท่าไหร่ อย่างแรกที่หาเลย คือ นิตยสาร เพราะมันง่าย มันใกล้ และอย่างที่บอก ตอนแรกๆ เทคโนโลยีทางอินเตอร์เน็ตมันยังไม่ได้ขนาดนั้น แล้วเราไม่ใช่คนที่เข้าพันทิพย์ เอาง่ายๆ ไม่ค่อยมีเวลาในการอ่านบล็อก และคอมเม้นท์ดีกว่า แต่นิตยสารมันเป็นสิ่งที่สามารถพกไปไหนก็ได้
โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เก่ง! แต่ “ดัง” สาวกความงาม “ตรึม” เธอมีวันนี้ได้อย่างไร?
        หนังสือแรกๆ ที่ซื้อของ Kevyn Aucoin เสียชีวิตแล้ว เขาเป็นเมคอัพอาร์ตติสที่แต่งให้ดาราเยอะๆ และออกหนังสือชื่อ Making Faces of Mind เขามีไลน์เครื่องสำอางของตัวเองที่ยังขายอยู่ทุกวันนี้ และอีกคนที่มีอิทธิพลการแต่งหน้าของโมเมอีกคนคือ บ๊อบบี้ บราวน์ เพราะว่าเขาก็เริ่มจากการทดลองเล่นกับข้าวของของตัวเอง ก่อนที่จะมี makeup brand เป็นของตัวเอง และมีโอกาสไปเจอมาเมื่อปีที่แล้ว ได้คุยด้วยแป๊บนึง เรายิ่งรู้สึกเออนะเราถึงชอบเขา วิธีใช้ชีวิต วิธีเขียนหนังสือ
     
       นอกเหนือจากนั้น ถ้าจะเป็นงานแฟนซีๆ หน่อย ก็จะเป็น Pat McGrath เขาเคยทำงานกับ MAC โมเมไม่แน่ใจตำแหน่งของเขา เป็นเหมือน creative director ให้กับ MAC อยู่พักนึง คนนี้จะแต่งหน้ามาทางสนุกสนาน แฟนซี แฟชั่นจ๋าๆ
     
       Scott Barnes มีแบรนด์ของตัวเองเหมือนกัน แต่ค่อนข้างเล็กหน่อย ออกหนังสือเหมือนกัน คนนี้เก่งเรื่องcontour เปลี่ยนรูปหน้า ไฮไลท์
     
       คือ เราชอบดู มันเหมือนการเรียนหนังสือ เหมือนทีวีแชมเปี้ยน เราชอบอะไร เราขวนขวาย ไม่ใช่ว่าพอเป็นโมเมพาเพลิน คนรู้จักแล้ว ก็นั่งสวยๆ แต่ซ้ำๆ เดิมๆ ถามว่าบางทีบางอย่างก็ไม่มีอะไรมากกว่าสิ่งที่เราทำอยู่ เพราะรูปหน้าแต่ละคน อย่างโมเม มีวิธีแต่งหน้าของมัน วิธีคัดเบ้าของโมเมที่ชั้นรู้ว่าชั้นทำชั้นสวยแน่ล่ะ ซึ่งหลายคนบอกวิธีเดิมอีกแล้วแค่เปลี่ยนสี เอ้า แต่งแบบนี้แล้วรอด
     
       นึกออกไหม บางทีการแต่งหน้ามันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่า ถ้าหน้าเราเพอร์เฟ็คมาก ทำอะไรก็สวย อย่างนั้นก็ดีไป แต่หน้าเรามันไม่ใช่ไง เราไม่ได้เกิดมาเพอร์เฟ็คอย่างนั้น เราอาจต้องมีวิธีการบางวิธีเฉพาะที่อาจต้องใช้ซ้ำๆ แต่ใช้แล้วเวิร์คอ่ะ เราก็แนะนำให้ทุกคนไปหาวิธีของตัวเองนะ ไปหาวิธีที่เป็น signature ของยู ที่ยูทำแล้วสบายใจ แฮปปี้
     
       ก็เป็นลักษณะนั้นมากกว่า แต่ก็ยังอ่านเยอะ ดูเยอะ เหมือนเดิม ไม่ได้ว่าน้อยลง just เพราะว่าเป็นพาเพลิน
     
       จับลุคดาราแล้วเปรี้ยง!
โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เก่ง! แต่ “ดัง” สาวกความงาม “ตรึม” เธอมีวันนี้ได้อย่างไร?
        “รายการมาบูมเนื่องจากว่าเราเริ่มแต่งหน้าตามดารา ในมุมมองของตัวเราเองคิดว่าจุดเปลี่ยนเลยเนี้ย มาจากการที่สาวไทยเรา อยากสวยเหมือนดารา content เริ่มเปลี่ยน เราเป็นคนพูดจาตรงๆ อยู่แล้ว แล้วเราไม่ได้มองว่า เรื่องบิวตี้เป็นเรื่องที่จะต้องมาแอ๊บสวย ว่าปัดสีนี้ซิคะ แล้วมันจะสวยนะ คือ ชีวิตมันเร็วกว่านั้น ทุกคนต้องการความจริง ไม่ได้ต้องการแบบว่า มโนภาพเอาว่าสวย
     
       จุดแรกเลยที่เราบอกว่าเราต่าง คือ เราเปลือยหน้าให้ดู คนเห็นหน้าเราเต็มมาตลอดอยู่แล้วตั้งแต่แรก คนไม่ค่อยเห็นเราเปลือยหน้า อยู่ดีๆ เราจะมาเปลือยหน้าใส่กล้องทำไม เพราะเราไม่ใช่คนที่สุขภาพผิวดีที่สุดในโลก เรามีปัญหาผิวเหมือนผู้หญิงทั่วไป เรารู้สึกว่าการที่เราทำจริงในขณะนั้น คนเห็นความจริงใจว่า นี่เราปัญหาเหมือนกันเลย ฉันก็มี ฉันก็เป็นสิวแบบนี้ เป็นกระแบบนี้ ชั้นจะทำอย่างไรดี เค้าเห็นว่ามันสามารถทำได้จริง ไม่ได้เห็นภาพที่สำเร็จแล้ว แต่ไม่สามารถทำตามได้ ฉะนั้นมันเลยเป็นจุดที่ โห หน้าสด ทำไมหน้าสดอ่ะ
     
       จากนั้นเราก็เปลี่ยนให้ดูว่า เราสามารถทำได้จริง แล้วมันไม่ได้เกินเอื้อมสำหรับคนอื่น ทำตามได้
     
       นอกเหนือจากนั้น พอคนเริ่มรู้สึกตรงนี้ แต่งตามดาราที่ได้รับความนิยมในขณะนั้น ละครหรืออะไรที่ออกมาในช่วงนั้น เริ่มมีคนดูแล้ว request ว่าขอลุคพี่ชมพู่เรยา, พี่พลอย หวานหวาน ในละคร 'ระบำดวงดาว'พี่อั้ม, ญาญ่า เราก็สนุกดี แต่งให้ บางทีถึงขั้นต้องถามเจ้าตัวเองเลยว่า ตกลงทำอะไรบ้างถึงแต่งได้แบบนี้ โชคดีว่า พอเรามี connection เราถาม ซึ่งก็เลยทำให้มันไปโดนใจคนที่อยากจะสวยในลักษณะนี้ ที่มีไอดอล อยากจะสวยเหมือนไอดอลของตัวเอง เขาก็เลยหันมาดู”
     
       เม้าท์แรง โมเมมั่ว จับแปรงยังไม่เป็นเลย แต่งหน้าไม่เห็นจะเก่ง!
     
       “มันจะมีวิจารณ์ในทางไม่ดีเสียงแว่วๆ มามากกว่า แต่ไม่เคยเจอกับตัว มันเป็นมาตั้งแต่สมัยร้องเพลงแล้วนะ การทำอาชีพในวงการบันเทิงมาก่อนหน้านี้ทำให้แข็งแรง ทำให้เรารู้สึกว่า คือ ก่อนหน้านี้คนพูดมาตลอดว่า เราเป็นนักร้องเพราะแม่ เพราะพี่ เรียนร้องเพลงหรือเปล่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ กับทุกวงการ เป็นเรื่องปกติ
     
       แต่ครอบครัวเราสอนให้เราแข็งแรง และรู้ว่าถ้าเรารู้ในสิ่งทีเราทำแล้วเรารู้สึกว่า เราไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน และเราขยันในสิ่งที่เราอยากทำ เราหาข้อมูลนะ เราพยายามทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นก็เชื่อไป แล้วทำ
โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เก่ง! แต่ “ดัง” สาวกความงาม “ตรึม” เธอมีวันนี้ได้อย่างไร?
        คนเกลียดมีอยู่แล้ว ไม่มีใครชอบให้ใครเด่นมาก ดังมาก มันจะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่า มันไม่โอเค มันไม่ใช่กับทุกอาชีพ แต่เราอยู่ในที่แจ้งเท่านั้นเอง ฉะนั้นจิตใจมันแข็งแรงมาตั้งแต่สมัยร้องเพลงแล้ว ว่า
     
       เราไม่ได้มองข้ามคอมเม้นท์นะ บางอย่างโอเค เราอาจจะเกินไปจริงๆ อาจจะทำไม่เป็นจริงๆ เราก็กลับไปย้อนดูมันแล้วปรับปรุงซิ ทำไมจะไปนั่งเครียดกับมัน ระทมทุกข์ทำไม คนไม่ชอบ
     
       โอเคบางทีอาจจะมีบ้าง ว่าทำไมต้องพูดแรงขนาดนั้น หรือบางทีทำไมไม่รู้จักเราเลย ทำไมด่วนตัดสินใจ แต่มันก็ทำให้คิดได้ว่า คนที่ทุกข์และเครียดคือเค้านะ ไม่ใช่เรา
     
       ถ้าเราเอามาใส่ใจ ถ้าเราเอามาเครียดตลอดเวลา เราทำงานไม่ได้เลยนะ แล้วเราจะยอมแบบไม่ทำในสิ่งที่เราชอบ ไม่ทำในสิ่งทีเรารัก และเป็นประโยชน์ต่อไปเพียงเพราะว่า เราถูกคอมเม้นท์เหรอ มันก็ไม่ใช่ไง ไม่งั้นมันก็ไม่ไปไหนกันสักที ก็อยู่ในที่เดิมๆ

     
       คุณนั่งอยู่หลังคีย์บอร์ดจะทำอะไรก็ได้ไง ไม่มีใครเห็นหน้านี่ เราก็ไม่ได้ว่า ว่าคนที่ทำเหล่านั้นไม่ดี เขาอาจจะมีอะไรในใจที่เค้าอยากจะพูดแต่เขาไม่มีพื้นที่ให้พูด ถ้านี่คือพื้นที่ของคุณ ทำแล้วสบายใจ คุณทำเลย
     
       แต่เราบอกตรงๆ ว่า เราไม่ค่อยอ่าน เพราะเราไม่มีเวลา แค่ที่ทำอยู่ ณ ปัจจุบันนี้มันก็เยอะมากแล้ว 16-17 ชั่วโมงในวันหนึ่งแล้ว มันพอแล้ว บางทีเราก็อยากจะอยู่เงียบๆ ของเราบ้าง โดยไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์"
     
       โมเมลั่น! ไม่ทับทางช่าง แค่สอนให้แต่งหน้าตัวเองเป็น
     
       “หูย หนูแต่งคนอื่นไม่เป็นเลยจริงๆ นะ ให้มานั่ง แล้วบอกว่า หมวยมาก แก้ไขให้หน่อย เออ จะทำยังไงนะ ทำยังไงเนี้ย ในชีวิตนี้ก็ตาสองชั้นมาตั้งแต่แรก ก็แค่บอกว่า โอเค เคยเห็นช่างติดสติ๊กเกอร์กลายเป็นตาสองชั้น แล้วก็แต่งตาทับลงไป พี่คิดว่าน่าจะได้ แนะนำส่งต่อไปอีก เออ ไปดูพี่ช่างคนนี้เค้าทำนะ เค้ามีคลิป ดังนั้น ดังนี้
     
       แต่เราก็จะบอกตลอดว่า ทุกคนที่ถ้าดูโมเมพาเพลินจริงๆ จะรู้ เราจะพูดตลอดว่า เราไม่ใช่ช่าง เราไม่เคยอยากจะทับทางช่าง และไม่เคยบอกว่า ชั้นเป็นเมกอัพอาร์ททิสมือหนึ่ง 
โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เก่ง! แต่ “ดัง” สาวกความงาม “ตรึม” เธอมีวันนี้ได้อย่างไร?
        โมเมพาเพลินคือ การที่อยากจะให้สาวๆ ทุกคนสวยได้ทุกวันด้วยตัวเอง แบบง่ายๆ ทำตามได้จริง ไม่ได้สอนให้ไปเป็นช่างแต่งหน้า เปล่าเลย ถ้าอยากเรียนจริงๆ เราแนะนำให้ไปเรียนที่นั่น ที่นี่ นั่นเป็นสถาบัน ดูพี่เอาไว้สนุกๆ ประกอบกับสิ่งที่เรียนมา เพราะบางทีก็เหมือนการว่า สิ่งที่คนอื่นทำให้เรากับเราทำให้ตัวเองนั้นมันก็ไม่เหมือนกัน ทำไมจะต้องรอโอกาสพิเศษถึงจะสวย ทำไมสวยทุกวันไม่ได้ ไม่เคยมองว่า อุ้ย ชั้นเลิศกว่าช่าง บ้า!
     
       คนดูพาเพลินจริงๆ จะรู้ว่า เราไม่แต่งหน้าคนอื่น อย่างน้อยคือ ไม่ใช่ตอนนี้ เรารู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม และเรายังไม่เก่งพอ ยังไม่มีความสามารถไปรับผิดชอบชีวิตใครได้ว่า เขาต้องสวยที่สุดในวันนี้ แต่เราบอกได้ว่าใช้สิ่งนี้สิ ประมาณนี้ หรือแนะนำให้ไปเจอคนที่เป็น expert จริงๆ
     
       สำหรับช่างแต่งหน้าในเมืองไทย เราชอบดูทุกคน สมัยแรกๆ ที่ออกอัลบั้มแต่งหน้ากับพี่ต้อ ชลภาคย์ ทุกอัลบั้ม พี่ต้อเป็นคนแต่ง, ป้ามล-กมล ฉัตรเสน, พี่เป็ด-อภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์ หรือช่างแต่งหน้ารุ่นใหม่ พี่ป็อก, พี่ป้อม
     
       เมกอัพทำชีวิตดีขึ้น คนสวยมักได้โอกาส
     
       "ส่วนหลายคนอาจมองว่าเรื่องความงามเป็นเรื่องฉาบฉวยหรือเปล่า มาสอนให้ผู้หญิงฉาบฉวย อาจจะแบบสวยอย่างเดียวหรือเปล่า และไม่มีอะไรเลยหรือเปล่า เราบอกมันไม่ใช่
     
       ที่เราบอกให้สวย เพราะเราไม่รู้ว่าโอกาสในชีวิต หรือคนอื่นมองเราด้วยอะไร เราบอกอยู่แล้วว่า เด็กพาเพลิน เราอยากให้สวย ฉลาด สมาร์ท อดทน อย่าสวยแล้วไม่มีอะไร เพราะว่าเดี๋ยวนี้คนสวยดาษดื่นมีเยอะ แต่ ณ จุดที่คุณจะได้งานไม่ได้งาน ได้โอกาสหรือไม่ได้โอกาสนั้น มันอยู่ที่กึ๋น มันไม่ได้อยู่ที่สวยอย่างเดียว
โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เก่ง! แต่ “ดัง” สาวกความงาม “ตรึม” เธอมีวันนี้ได้อย่างไร?
        แต่แน่นอน ดูคนสวยแล้วมันชื่นใจกว่าก่อนล่ะ สมมุติว่าคุณต้องไปทำงานที่ใช้หน้าตาเป็นหลัก เป็นหน้าตาขององค์กรหรืออะไรก็แล้วแต่ คุณจะบอกว่าชั้นไม่สนใจ ชั้นมีกึ๋น ชั้นจะเปลือยหน้าไปทำงาน มันก็ไม่ใช่ คุณจะไม่ได้โอกาสที่คุณควรจะได้
     
       มีหลายคนนั่งอ่านอยู่ อาจมองว่าเรื่องนี้มันงี่เง่ามาก มันเรื่องฟุ้งเฟ้อ มันต้องมีอยู่แล้ว แต่เราจะบอกจากมุมมองของเราล่ะกันว่า มาจากไหน ทำไมถึงต้องแต่งหน้า ทำไมต้องทำผม เราอยากให้คนที่ไม่เคยดูพาเพลินและตัดสินไปล่วงหน้าแล้วว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าที่สุด เสียเวลาที่สุด เปลืองที่สุด มอมเมาผู้หญิง ลองไปดูสักตอน แล้วค่อยตัดสินใจ
     
       ค่ะ อ่านคำพูดล้วนๆ แล้ว เห็นถึงความมุ่งมั่น และเชื่อมั่น ที่ทำให้เธอยืนหยัดอยู่ในแวดวงความงามได้ถึงทุกวันนี้ นับวันยิ่งมีคนตามเธอทางโชเชียลเน็ตเวิร์กมากขึ้นด้วยซ้ำ เธอไม่แคร์กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์แรงๆ เพราะ...
     
       “เราไม่ใช่ช่าง เราไม่เคยอยากจะทับทางช่าง และไม่เคยบอกว่า ชั้นเป็นเมกอัพอาร์ททิสมือหนึ่ง”
โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เก่ง! แต่ “ดัง” สาวกความงาม “ตรึม” เธอมีวันนี้ได้อย่างไร?
       
       
       
       >> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ 
 http://www.celeb-online.net 
ที่มา (2)


ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ฝากติดตามผลงานของโมเมด้วยนะคะ